รู้จัก Hoka จากรองเท้าผ้าใบสายนักวิ่ง ขยายตลาดสู่รองเท้าสายแฟ สีจัดจ้าน ที่กำลังฮิตอยู่ตอนนี้
Business

รู้จัก Hoka จากรองเท้าผ้าใบสายนักวิ่ง ขยายตลาดสู่รองเท้าสายแฟ สีจัดจ้าน ที่กำลังฮิตอยู่ตอนนี้

23 มี.ค. 2023
รู้จัก Hoka จากรองเท้าผ้าใบสายนักวิ่ง ขยายตลาดสู่รองเท้าสายแฟ สีจัดจ้าน ที่กำลังฮิตอยู่ตอนนี้ /โดย ลงทุนเกิร์ล
ช่วงนี้หลายคนคงพอจะคุ้นตากับ รองเท้าผ้าใบยี่ห้อ Hoka ที่มีพื้นรองเท้าหนาเตอะ และมีสีฉูดฉาด เตะตา จนบางทีคนที่เดินผ่านต้องเหลียวไปมอง
แม้แบรนด์ Hoka ยังมีอายุไม่มาก ซึ่งลืมตาดูโลกได้เพียง 14 ปีเท่านั้น ต่างจากแบรนด์รุ่นพี่อย่าง Nike, adidas หรือ New Balance ที่มีอายุและทำตลาดมาแล้ว นับหลายสิบปี ไปจนถึงเกือบ 100 ปี
ถึงจะเป็นน้องใหม่ของวงการ แต่ Hoka สามารถมัดใจคนที่ชื่นชอบรองเท้าได้ และช่วงนี้ถือเป็นอีกแบรนด์ที่กำลังมาแรง
ซึ่งสะท้อนได้จากความนิยมในตลาดที่มากขึ้น และตัวเลขยอดขายของแบรนด์
โดยยอดขายปี 2022 (มี.ค. 2021 - มี.ค. 2022)
Hoka ทำยอดขายทั่วโลกได้กว่า 31,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 56%
แถมเฉพาะยอดขาย 9 เดือนล่าสุด (เม.ย. - ธ.ค. 2022)
Hoka ก็กวาดยอดขายไปได้แล้วถึง 35,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 67%
แล้วอะไรทำให้อยู่ ๆ รองเท้า Hoka ถึงได้ฮิตขึ้นมาในช่วงพักหลัง ๆ นี้ ? และเรื่องราวของ Hoka น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของ Hoka ในปี 2009 ซึ่งก่อตั้งโดยคู่หูนักวิ่งเทรล หรือนักวิ่งผจญภัยบนพื้นที่ธรรมชาติ ชาวฝรั่งเศส นามว่าคุณ Nicolas Mermoud และคุณ Jean-Luc Diard
นอกจากเป็นนักวิ่งแล้ว ทั้งสองยังเคยเป็นพนักงานบริษัทรองเท้าวิ่งสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งอย่าง Salomon มาก่อนด้วย พวกเขาจึงมีความรู้เกี่ยวกับการดิไซน์รองเท้าวิ่งมาอยู่บ้างแล้ว
แต่สมัยนั้นยังไม่มีรองเท้าวิ่งเทรล ที่ใส่วิ่งทางโหด ๆ ได้ดีพอ คุณ Nicolas และคุณ Jean จึงคิดอยากทำรองเท้าผ้าใบใส่เอง ที่สามารถใส่วิ่งลงเนินที่มีความชัน ในระยะทางไกล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถนอมเท้า
เมื่อมีแรงผลักดันและสิ่งที่อยากทำแล้ว ทั้งคู่จึงเริ่มค้นคว้าและพัฒนารองเท้าวิ่งเทรลของตัวเองขึ้นมา
โดยช่วงแรก ทั้งคู่นำไอเดียในการพัฒนารองเท้า มาจากรองเท้าเพื่อสุขภาพ ที่มีพื้นรองเท้าที่หนาและใหญ่กว่าตัวรองเท้า เพื่อเน้นการซัปพอร์ต มาออกแบบเป็นรองเท้าวิ่งเทรล
และนี่ก็กลายเป็นหัวใจสำคัญ ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Hoka ในเวลาต่อมา..
จริง ๆ แล้ว Hoka มีชื่อแรกว่า “Hoka One One” (โฮก้า โอเน่ โอเน่) เป็นภาษาเมารี แปลว่า “ลอยอยู่เหนือพื้น”
เพื่อสื่อว่ารองเท้าแบรนด์นี้ ใส่แล้วนุ่ม สบายเท้า แถมกันกระแทกได้ดี เหมือนวิ่งอยู่บนอากาศ ซึ่งเป็นที่มาของสโลแกน “Time to fly” ของแบรนด์นั่นเอง
แต่ต่อมา ก็ตัดชื่อให้เหลือเพียง Hoka เพื่อให้กระชับขึ้น ช่วยให้ผู้บริโภคเรียกและจดจำชื่อแบรนด์ได้ง่ายขึ้น
พอผ่านไปเพียง 3 ปี หลังเปิดตัวแบรนด์ ถึง Hoka จะพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ก็ค่อนข้างเฉพาะในกลุ่มนักวิ่งเทรลเท่านั้น โดยตอนนั้น Hoka มียอดขายเพียง 70 ล้านบาท
คุณ Nicolas และคุณ Jean จึงสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ ด้วยการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มนักวิ่งเทรล
ประจวบกับตอนนั้น Deckers Outdoor Corporation บริษัทรองเท้าสัญชาติอเมริกันยักษ์ใหญ่ เห็นศักยภาพของแบรนด์ Hoka จึงตัดสินใจซื้อกิจการ Hoka ด้วยมูลค่า 38.5 ล้านบาท ในปี 2013
หากใครพอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับวงการธุรกิจรองเท้ามาบ้าง คงไม่สงสัยว่าทำไม Deckers เจ้าของฉายา อาณาจักรแห่ง “Ugly Shoes” หรือรองเท้าหน้าตาประหลาด ถึงตัดสินใจซื้อ Hoka
ซึ่ง Deckers ได้รับฉายานี้มา เพราะมักจะซื้อแบรนด์รองเท้า ที่มีหน้าตาสวนกระแส แต่มีฟังก์ชันตอบโจทย์ผู้บริโภค เข้าพอร์ตอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น
-รองเท้าบูทกันหนาว ที่ใหญ่เทอะทะอย่าง UGG
-รองเท้าลำลอง ที่มีแต่สายรัดกับพื้นรองเท้าอย่าง Teva
จนมาถึง Hoka รองเท้าผ้าใบ ที่มีพื้นรองเท้าใหญ่กว่าตัวรองเท้า เพื่อมาเติมตลาดกลุ่มรองเท้าผ้าใบ ที่ Deckers ยังขาดอยู่ ได้อย่างพอดิบพอดีนั่นเอง
หลังจาก Hoka ได้เข้ามาอยู่ใต้ชายคาอาณาจักรรองเท้าสุดแนวอย่าง Deckers แล้ว ก็ยังไม่ทิ้งคุณสมบัติเดิม ที่เคยชนะใจลูกค้ากลุ่มนักวิ่ง ทั้งพื้นหนานุ่ม ใส่วิ่งแล้วเบาสบาย
แต่สิ่งที่ Deckers เติมแต่งให้ Hoka คือ สีสันฉูดฉาด และลวดลายที่ชวนให้จ้องมอง จนชาวแฟชันนิสตา เรียกมันว่า เป็นงานศิลปะแนวประสาทหลอน (Psychedelic art) เลยทีเดียว
กลายเป็นว่า ทั้งคุณสมบัติและสีสันลวดลายของ Hoka เป็นที่ถูกใจของลูกค้ากลุ่มที่กว้างขึ้นกว่าเดิม โดยล่าสุด CEO ของ Deckers อย่างคุณ Dave Powers ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนก่อนว่า ลูกค้าผู้หญิง Gen Z และ Millennial กลายมาเป็นลูกค้ากลุ่มหลัก ที่ช่วยดันยอดขายให้ Hoka
และคุณ Dave ยกให้เป็นเครดิตจากการ Collaborations กับหลากหลายแบรนด์ ที่มีกลุ่มลูกค้าแตกต่างกันไป ทำให้ Hoka เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น
ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้เอง ทำให้รองเท้า Hoka เข้าถึงฐานลูกค้าที่หลากหลาย ไม่เพียงเฉพาะนักวิ่ง หรือนักกีฬาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสายแฟ สายอาชีพ หรือคนทั่วไป ที่ต้องการรองเท้า ซึ่งสวมใส่สบาย สามารถใส่ในชีวิตประจำวันแบบ Everyday Look ได้
มากไปกว่านั้น Hoka ยังได้อานิสงส์จากผลพวงของสถานการณ์โรคระบาด ที่ทั่วโลกต้องล็อกดาวน์ และทำงานจากที่บ้าน ทำให้พฤติกรรมการเลือกใส่รองเท้าของผู้คนนั้นเปลี่ยนไป
เพราะการอยู่แต่บ้าน ทำให้คนส่วนใหญ่ชินกับการใส่รองเท้าที่ใส่สบาย เดินสะดวก และไม่เป็นทางการ แทนรองเท้าหนัง รองเท้าส้นสูง หรือรองเท้าที่ดูเรียบร้อย แต่ใส่ไม่ค่อยสบาย
และนั่นส่งผลให้ รองเท้าสาย Uglycore หรือรองเท้าหน้าตาประหลาด ที่ดูไม่เป็นทางการ แต่ใส่สบายกว่า มาแรงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไม Hoka รองเท้าผ้าใบพื้นหนา สีแสบตา สไตล์ Maximal ถึงติดโผ กลายเป็นแบรนด์ที่โดดเด่นในเทรนด์ช่วงนี้ไปกับเขาด้วย นั่นเอง
อ่านมาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่า แม้ Hoka จะยังคงยึดจุดยืนการเป็นรองเท้าวิ่งพื้นหนาที่ใส่สบาย ซึ่งเป็น DNA ของแบรนด์มาโดยตลอด
แต่การเพิ่มองค์ประกอบด้วยสี และลวดลายขึ้นมา ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้รองเท้าของแบรนด์ มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนรองเท้าผ้าใบแบรนด์ไหน
ประกอบกับคุณสมบัติของสินค้า ที่สอดคล้องไปกับเทรนด์พฤติกรรมของผู้บริโภค ที่หันมามองหารองเท้าที่ใส่สบายมากขึ้น
ก็ช่วยผลักดันให้แบรนด์ Hoka สามารถขยายตลาด และเพิ่มยอดขายได้แบบก้าวกระโดด..
---------------------------------------------------------------------------
Presented by กลุ่มบริษัทธนจิรากรุ๊ป เดินหน้าขยายธุรกิจหาญ เวลเนสแอนด์ฮอสพิทอลลิตี้ (HARNN Wellness & Hospitality) ครอบคลุมทั้งเวลเนสและสปาภายในประเทศและต่างประเทศในระดับ Regional สร้างให้แบรนด์ไทยเป็นที่รู้จักและสร้างความภูมิใจในระดับสากลรวมกว่า 16 สาขาทั่วภูมิภาค
https://www.facebook.com/TANACHIRA-GROUP-174055739828807/
#TANACHIRA #HARNN #SCapebyHARNN
---------------------------------------------------------------------------
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.