Club Med จากคลับฮิปปี้ ให้คนมาพักฟรี สู่แบรนด์รีสอร์ตหรู ระดับโลก
Business

Club Med จากคลับฮิปปี้ ให้คนมาพักฟรี สู่แบรนด์รีสอร์ตหรู ระดับโลก

13 เม.ย. 2023
Club Med จากคลับฮิปปี้ ให้คนมาพักฟรี สู่แบรนด์รีสอร์ตหรู ระดับโลก /โดย ลงทุนเกิร์ล
รายงานเทรนด์การท่องเที่ยว ปี 2023 ของสมาคมตัวแทนท่องเที่ยวอังกฤษ (ABTA) พบว่าชาวอังกฤษ 29% ได้จองแพ็กเกจ All Inclusive ไว้แล้ว
ในขณะที่ยอดจองที่พักแบบ All Inclusive ทั่วโลก ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า การท่องเที่ยวแบบ “All Inclusive” กำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไม่น้อย
ซึ่งหนึ่งในเหตุผลหลัก ๆ ที่แพ็กเกจท่องเที่ยวลักษณะนี้ได้รับความนิยม เป็นเพราะสามารถช่วยนักท่องเที่ยว จัดการค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น นั่นเอง
สำหรับใครที่สงสัยว่า แพ็กเกจท่องเที่ยวแบบ All Inclusive คืออะไร ?
ให้ลองนึกภาพ การท่องเที่ยวที่ได้พักผ่อนเต็มที่ ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ในรีสอร์ต นอนดูวิวธรรมชาติ มีอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ รวมไปถึงมีอาหารว่าง และเครื่องดื่มเสิร์ฟไม่อั้น แถมมีกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยว เข้าร่วมได้ทั้งวัน
และที่สำคัญคือ บริการทั้งหมดนี้ เรา “จ่ายเหมารอบเดียว” โดยไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มอีกแล้ว
หรือสรุปง่าย ๆ คือ ​​All Inclusive เป็นแพ็จเกจเหมาจ่าย ที่จ่ายเงินครั้งเดียวในตอนแรก ก็ได้ครบจบทั้งที่พัก, อาหาร 3 มื้อต่อวัน, เครื่องดื่ม, สิ่งอำนวยความสะดวก, กิจกรรมและบริการต่าง ๆ โดยไม่ต้องจ่ายค่าอะไรเพิ่มอีก
ซึ่งช่วยให้นักท่องเที่ยวประหยัดค่าใช้จ่ายขึ้นได้
แต่รู้ไหมว่า คอนเซปต์การพักผ่อนแบบ All Inclusive นั้น มีมา 73 ปีแล้ว และรีสอร์ตแรก ที่เป็นตำรับคอนเซปต์นี้ ก็คือ “Club Med” แบรนด์รีสอร์ตหรู เจ้าของห้องพักราคาหลักหมื่น
โดย Club Med บริหารรีสอร์ตกว่า 66 แห่งทั่วโลก
ซึ่งรีสอร์ตของ Club Med ที่เราคุ้นเคยกัน ก็อย่างเช่น
-Club Med ภูเก็ต
-Club Med Kani มัลดีฟส์
-Club Med Tomamu Hokkaido ญี่ปุ่น
แล้วที่มาที่ไปของไอเดียนี้ น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
จริงแล้ว ๆ Club Med มีชื่อแรกว่า Club Mediterranée เพราะที่พักแห่งแรก ตั้งอยู่บนเกาะ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นั่นเอง
ซึ่งเดิมทีคุณ Gérard Blitz ที่เป็นผู้ก่อตั้ง ไม่ได้ตั้งใจจะทำธุรกิจที่พัก แต่เขาอยากทำ “Club” หรือชมรมที่ไม่แสวงหาผลกำไร ด้วยการจำลอง “ดินแดนในอุดมคติ” ที่มีแต่ความสุข (Utopia) ขึ้นมา เพื่อให้ผู้คนได้หลีกหนี ความโหดร้ายจากสงคราม มาพักกายพักใจ ที่คลับของเขา
นั่นทำให้ตอนแรก Club Med มีโมเดลไม่เก็บตังค์ผู้เข้าพัก แต่จะหารายได้จากเงินบริจาคแทน ส่วนผู้เข้าพักจะบริจาคเข้าคลับหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ
นอกจากนี้ รูปแบบของการพักผ่อนที่ Club Med ในยุคแรกนั้น เรียกได้ว่าเอ็กซ์ตรีมสุด ๆ เพราะไม่มีความสะดวกสบายใด ๆ เลย
ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ส่วนอาหารการกิน ก็ให้ผู้เข้าพักหุงหากันเอง
มีเพียงเต็นท์บนหาดทราย และความบันเทิงแบบเสรีชน จากผู้เข้าพักด้วยกันเองเท่านั้น
แต่โมเดลนี้ ทำให้ Club Med มีรายได้ไม่เพียงพอมาหล่อเลี้ยงต้นทุนที่เกิดขึ้นของคลับ จนเกือบต้องปิดตัวลง แต่โชคดีที่เพื่อนของคุณ Blitz อย่างคุณ Gilbert Trigano ยื่นมือเข้ามาช่วยบริหาร
ซึ่งคุณ Trigano ได้ยกเครื่อง Club Med ใหม่แทบทั้งหมด ตั้งแต่สร้างกระท่อมแทนเต็นท์ ต่อน้ำ ต่อไฟมาใช้ในที่พัก และจุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือ เขาได้ปรับโมเดลองค์กร ให้กลายเป็นธุรกิจแสวงหากำไร ด้วยการเก็บเงินค่าเข้าพักจากนักท่องเที่ยว
อย่างไรก็ดี คุณ Blitz อยากคงความเป็นดินแดนแห่งความสุขเอาไว้ ทั้งคู่จึงหาจุดตรงกลาง เพื่อให้ Club Med ยังเป็นดินแดนแสนสุข แต่ก็สามารถสร้างรายได้ได้มากพอ ที่จะทำให้คลับอยู่ต่อไปได้เรื่อย ๆ
และคุณ Blitz ที่เคยเป็นนักกีฬาโปโลน้ำก่อน จึงนำไอเดียของหมู่บ้านนักกีฬา ที่มีทุกอย่างพร้อม เพื่อให้นักกีฬากักตัวซ้อมอยู่แต่ในหมู่บ้าน มาประยุกต์ใช้กับ Club Med ด้วย เพื่อสร้างความแตกต่างของประสบการณ์ท่องเที่ยว และดึงดูดนักท่องเที่ยว
โดยคอนเซปต์ตอนนั้น คือ ให้แขกจ่ายเงินก่อนเข้าพักทีเดียว ส่วนด้าน Club Med ก็จะเตรียมทุกอย่าง ที่ทำให้ผู้เข้าพัก มีความสุขได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น ที่นอน อาหาร และกิจกรรมต่าง ๆ
นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคอนเซปต์ All Inclusive ที่โรงแรมรีสอร์ตทั่วโลก ใช้มาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง
สำหรับ Club Med เอง ก็ถูกเปลี่ยนมือมาหลายเจ้าของ โดยมีการพัฒนาด้านความสะดวกสบาย และยกระดับความหรูหราขึ้น จนกลายเป็นแบรนด์ Club Med ที่เปลี่ยนกลุ่มลูกค้า จากเสรีชน สู่ระดับ high-end ในปัจจุบัน
ซึ่งตอนนี้ Club Med อยู่ภายใต้ร่มเงาของ Fosun Group กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน ที่มีธุรกิจในเครือมากมาย
และในปี 2022 Club Med มียอดจองห้องพัก สูงถึงเกือบ 6 หมื่นล้านบาท เลยทีเดียว
แล้วสงสัยกันไหมว่า นอกจากความหรูหรา และความสะดวกสบายอันครบครัน ที่ไม่ต่างจากรีสอร์ตหรูระดับเดียวกันแล้ว Club Med มีจุดแข็งอะไรอีก ที่ทำให้แตกต่าง และโดดเด่น จนนักท่องเที่ยวประทับใจบ้าง ?
ต้องเล่าย้อนตั้งแต่เริ่มต้น ว่า Club Med ไม่ได้วางตำแหน่งตัวเองเป็นธุรกิจที่พัก แต่เป็น “ชุมชน” ที่รวมกลุ่มคนไว้ด้วยกัน
Club Med จึงให้ความสำคัญกับ “วัฒนธรรมคลับ” ที่เป็นเครื่องมือช่วยให้ชุมชนกลมเกลียวกันแบบเพื่อนร่วมอุดมการณ์ มากกว่า ผู้ให้และรับบริการ
โดย Club Med เปรียบตัวเองเป็นหมู่บ้าน และแต่ละคน ก็จะสวมบทบาทต่างกันไป เช่น-ผู้จัดการรีสอร์ต จะถูกเรียกว่า ผู้นำหมู่บ้าน หรือ The Chef de Village
-แขกที่มาเข้าพัก คือ สมาชิกของคลับ หรือ Gracious Members (GM)
-พนักงานที่ดูแลแขกที่เข้าพัก คือ Gracious Organisers (GO) หรือ ผู้ดูแลความราบรื่นและสงบสุขภายในหมู่บ้าน
ซึ่ง GO ของ Club Med นี่แหละ ที่เป็นอีกจุดแข็ง ที่สร้างความประทับใจให้กับแขกที่เข้าพัก เพราะพนักงานของ Club Med ให้บริการที่เป็นกันเอง เพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและสนุกสนานเฮฮา
และวัฒนธรรมเดียวกันนี้เอง ทำให้แขกมีความคาดหวังในบริการ ที่สนุก และเป็นธรรมชาติ มากกว่าบริการที่หรูหรา แถมยังทำให้บรรยากาศใน Club Med เป็นกันเอง เพราะ แขกที่มาจากหลากหลายที่ ต่างสวมบทบาทเป็นสมาชิกหมู่บ้านเดียวกันนั่นเอง
อีกทั้งทางรีสอร์ตของ Club Med ยังได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้แขก เข้าร่วมได้ อย่างเช่น คลาสทำอาหาร, คลาสสอนกอล์ฟ สอนสกี และกีฬาทางน้ำ รวมถึงมีโชว์การแสดงสดต่าง ๆ ให้ชมด้วย
ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้แขกผู้เข้าพัก ได้รับประสบการณ์ที่อบอุ่นและน่าจดจำ นั่นเอง
อ่านมาถึงตรงนี้จะเห็นว่า แม้ห้องพัก แบรนด์ และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ Club Med จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
แต่คอนเซปต์ All Inclusive และแก่นดั้งเดิม ที่มุ่งมั่นจะจำลองโลกแห่งความสุขได้ ซึ่ง Club Med อนุรักษ์ไว้ตั้งแต่เริ่มต้น
ได้กลายเป็นจุดแข็งสำคัญของรีสอร์ตที่ยากจะเลียนแบบ นั่นเอง..
--------------------------------------------------------------------
Presented by กลุ่มบริษัทธนจิรากรุ๊ป เดินหน้าขยายธุรกิจหาญ เวลเนสแอนด์ฮอสพิทอลลิตี้ (HARNN Wellness & Hospitality) ครอบคลุมทั้งเวลเนสและสปาภายในประเทศและต่างประเทศในระดับ Regional สร้างให้แบรนด์ไทยเป็นที่รู้จักและสร้างความภูมิใจในระดับสากลรวมกว่า 16 สาขาทั่วภูมิภาค
https://www.facebook.com/TANACHIRA-GROUP-174055739828807/
#TANACHIRA #HARNN #SCapebyHARNN
--------------------------------------------------------------------
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.