Air Company ผู้เปลี่ยน “อากาศ” เป็น น้ำหอม วอดก้า และน้ำมันเครื่องบิน
Business

Air Company ผู้เปลี่ยน “อากาศ” เป็น น้ำหอม วอดก้า และน้ำมันเครื่องบิน

24 เม.ย. 2023
Air Company ผู้เปลี่ยน “อากาศ” เป็น น้ำหอม วอดก้า และน้ำมันเครื่องบิน /โดย ลงทุนเกิร์ล
คงเป็นเรื่องแปลก ถ้าบอกว่าบริษัทแห่งหนึ่ง ดำเนินธุรกิจผลิตน้ำหอม วอดก้า และน้ำมันเครื่องบิน
เพราะเป็นสินค้าต่างอุตสาหกรรม และมีกลุ่มลูกค้าที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
และที่แปลกกว่านั้นคือ บริษัทแห่งนี้ สร้างสินค้าที่มีมูลค่าเหล่านี้ขึ้นมาขาย ด้วย “ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์” ที่ลอยอยู่บนอากาศ..
บริษัทที่กล่าวถึง คือ “Air Company” สตาร์ตอัปสัญชาติอเมริกัน ที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียง 7 ปี และสามารถระดมทุนไปได้แล้วมากกว่า 1,300 ล้านบาท
แล้ว Air Company มีวิธีการอย่างไร ถึงเปลี่ยน “ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์” ซึ่งเป็นของ “ฟรี” มาสร้างเป็นธุรกิจได้ ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
Air Company เกิดจากการรวมตัวกันของ 2 ผู้ร่วมก่อตั้ง ที่มาจากคนละขั้วกันโดยสิ้นเชิง นั่นคือ คุณ Staff Sheehan และคุณ Gregory Constantine
โดยคุณ Staff เป็นนักวิทยาศาสตร์ เรียนจบดอกเตอร์ด้านเคมีเชิงฟิสิกส์
ในขณะที่คุณ Gregory เคยทำงานเป็นผู้จัดทัวร์คอนเสิร์ต ให้กับหลายศิลปินดังระดับโลก อย่างเช่น Snoop Dogg รวมถึงจัดเทศกาลดนตรี ให้แบรนด์วอดก้า Smirnoff
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เกิดขึ้นจากความบังเอิญเจอกันที่บาร์แห่งหนึ่ง ในประเทศอิสราเอล
พอได้ทำความรู้จัก และพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ก็พบว่าพวกเขาสนใจเรื่องนวัตกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไม่ต่างกัน
เมื่อเป้าหมายเหมือนกัน พวกเขาจึงตัดสินใจทำธุรกิจร่วมกัน เพื่อหาแนวทางช่วยโลก ด้วยการลดปริมาณ “ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์” ที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ แล้วแปลเปลี่ยนเป็นสินค้าที่ใช้ได้จริง
เจตจำนงนี้ จึงเป็นที่มาของ Air Company บริษัทที่เนรมิต “อากาศ” เป็นสินค้าชนิดต่าง ๆ
ซึ่งเส้นทางการเติบโตของ Air Company มาจากการผนวกความถนัดคนละขั้ว ของทั้งคู่ มาช่วยกันขับเคลื่อนธุรกิจ
โดยคุณ Staff ทำหน้าที่ดูแลเรื่องเทคโนโลยีและการผลิตทั้งหมด ส่วนคุณ Gregory ดูแลเรื่องการบริหารจัดการ แบรนด์ดิง และสร้างสรรค์การสื่อสารให้น่าสนใจ
ทีนี้มาตอบคำถามที่หลายคนสงสัยกันว่า Air Company มีวิธีการทำสินค้า จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อย่างไร ?
ถ้าให้เห็นภาพง่าย ๆ คือ กระบวนการของ Air Company ก็คล้ายกับการสังเคราะห์แสงของพืช ที่พืชเปลี่ยนสถานะของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และพลังงานแสงอาทิตย์ ให้กลายเป็นอาหาร
ส่วน Air Company จะเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และพลังงานหมุนเวียนจากโซลาร์เซลล์ เป็นแอลกอฮอล์ (เอทานอล)
จากนั้น Air Company จึงนำแอลกอฮอล์ ไปต่อยอดสร้างสรรค์เป็นสินค้าชนิดอื่น ๆ ตั้งแต่
-แอลกอฮอล์ล้างมือ (AIR Hand Sanitizer)
-น้ำหอม (AIR Eau de Parfum)
-วอดก้า (AIR Vodka)
ไปจนถึง น้ำมันเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับเครื่องบิน (SAF)
บางคนอาจรู้สึกว่า ดู ๆ แล้วไอเดียนี้ก็เลียนแบบได้ไม่ยาก
แต่สิ่งที่ทำให้ใครก็ไม่สามารถเลียนแบบ Air Company ได้ ก็คือ ระบบ Carbon Conversion Reactor system และตัวเร่งปฏิกิริยา ที่บริษัทได้จดสิทธิบัตรไว้แล้ว
ซึ่งทั้ง 2 องค์ประกอบนี้ เป็นตัวการที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมี และได้แอลกอฮอล์เป็นผลลัพธ์ นั่นเอง
นอกจากเรื่องนวัตกรรมของกระบวนการผลิตแล้ว
อีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ แนวคิดในการเลือกประเภทสินค้า เพื่อทำออกมาขาย เพราะสินค้าแต่ละชนิดมีกลุ่มเป้าหมายต่างกัน แม้จะมีวัตถุดิบสารตั้งต้น เป็นแอลกอฮอล์ ที่ได้จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหมือนกันก็ตาม
ซึ่งเรื่องนี้มีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง..
คุณ Gregory เคยให้สัมภาษณ์กับ Forbes ไว้ว่า จริง ๆ แล้ว สินค้าที่ Air Company ตั้งใจทำตั้งแต่แรก เป็นพระเอกหลักที่จะทำให้บริษัท สามารถบรรลุเป้าหมายในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ให้กับโลกได้อย่างมหาศาล
ก็คือ เชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับอากาศยาน หรือ SAF (Sustainable Aviation Fuel)
เพราะสามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับน้ำมันเครื่องบินที่ใช้อยู่เดิม อย่างเชื้อเพลิงฟอสซิล
นอกจากนี้ SAF ยังมีมูลค่าความต้องการในตลาดสูง สายการบินทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ และมุ่งมั่นที่จะนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ในวงกว้าง ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ทางธุรกิจมากกว่า
แต่เหตุผลที่บริษัทเลือกออกสินค้าอย่างน้ำหอม และวอดก้า ก่อน เพราะพวกเขาต้องการโปรโมตเทคโนโลยี ที่สามารถเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นต้นตอของภาวะโลกร้อน ให้เป็นสินค้าที่มีประโยชน์ได้
จึงเลือกทำสินค้าอุปโภคบริโภค ที่เป็นของใกล้ตัว และคนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า มาช่วยดึงดูดความสนใจจากตลาด สื่อ และสังคม
กลยุทธ์การสื่อสารและโปรโมตนี้ ก็ประสบความสำเร็จตามที่หวัง โดยบริษัทสามารถสร้างตัวตน และดึงความสนใจจากนักลงทุนได้
จน Air Company สามารถระดมทุนได้มากกว่า 1,300 ล้านบาท เพื่อเป็นสายป่านสำหรับขยายธุรกิจ และพัฒนา SAF
แถมได้ปรากฏบนหน้าสื่อชื่อดังหลายสำนัก..
ซึ่งเมื่อปลายปี 2022 Air Company ได้ร่วมมือกับกองทัพอากาศสหรัฐฯ ทดลองนำ AIRMADE™ SAF แบรนด์เชื้อเพลิงทางเลือกของพวกเขา ไปใช้กับเครื่องบินของกองทัพได้สำเร็จ โดยไม่ต้องผสมกับเชื้อเพลิงฟอสซิลเลย
และที่สำคัญ ไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์ใด ๆ เพื่อใช้กับเชื้อเพลิงของ Air Company อีกด้วย
นับเป็นก้าวสำคัญ ที่พิสูจน์ความเป็นไปได้ของเชื้อเพลิงทางเลือกที่ยั่งยืน ซึ่งทำให้พวกเขาได้เซ็นสัญญาจะขายเชื้อเพลิงทางเลือกกว่าพันล้านแกลลอน ให้กับหลายสายการบิน เช่น JetBlue, Virgin Atlantic รวมถึงกองทัพอากาศสหรัฐฯ
แต่เส้นทางธุรกิจของทั้งสองคนก็ไม่หยุดแค่นั้น เพราะจุดสูงสุดที่คุณ Gregory และคุณ Staff คาดหวังไว้คือ การปฏิวัติวงการเชื้อเพลิง ในทุกอุตสาหกรรม..
อ่านมาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า แม้คุณ Staff และคุณ Gregory จะมีแบ็กกราวนด์และความถนัดที่ต่างกัน
คนหนึ่งสายวิทย์ อีกคนสายศิลป์ แต่ทักษะและประสบการณ์ของทั้งคู่ ต่างเติมเต็มกัน
ซึ่งนั่นทำให้ Air Company กลายเป็นบริษัท ที่มีจุดแข็งทั้งทางด้านเทคโนโลยี กลยุทธ์ทางการตลาดและการสื่อสารธุรกิจ
แม้ Air Company จะเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน และยังห่างไกลจากเป้าหมายที่ตั้งไว้มาก
แต่การเริ่มออกเดินทางของ Air Company ก็นับเป็นก้าวสำคัญ ที่เป็นอีกความหวัง ในการช่วยบรรเทาภาวะโลกร้อน และช่วยสร้างโลกที่ยั่งยืนกว่าเดิม..
-----------------------------------------------
Presented by กลุ่มบริษัทธนจิรากรุ๊ป เดินหน้าขยายธุรกิจหาญ เวลเนสแอนด์ฮอสพิทอลลิตี้ (HARNN Wellness & Hospitality) ครอบคลุมทั้งเวลเนสและสปาภายในประเทศและต่างประเทศในระดับ Regional สร้างให้แบรนด์ไทยเป็นที่รู้จักและสร้างความภูมิใจในระดับสากลรวมกว่า 16 สาขาทั่วภูมิภาค
https://www.facebook.com/TANACHIRA-GROUP-174055739828807/
#TANACHIRA #HARNN #SCapebyHARNN
-----------------------------------------------
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.