“Moka Pot” อุปกรณ์ยอดฮิตของสตรีตคอฟฟีไทย แต่กำลังจะหายไปในอิตาลี
LifestyleBusiness

“Moka Pot” อุปกรณ์ยอดฮิตของสตรีตคอฟฟีไทย แต่กำลังจะหายไปในอิตาลี

15 ธ.ค. 2020
“Moka Pot” อุปกรณ์ยอดฮิตของสตรีตคอฟฟีไทย แต่กำลังจะหายไปในอิตาลี /โดย ลงทุนเกิร์ล 
ตลาดกาแฟในประเทศไทยปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นอย่างมาก 
อาชีพบาริสต้า เริ่มกลายเป็นอาชีพยอดนิยม 
ซึ่งก็มีคนไทยจำนวนไม่น้อย ที่สามารถไปคว้ารางวัลชนะเลิศจากเวทีระดับสากล
และสิ่งที่ตามมา ก็น่าจะเป็นความฝันของใครหลายๆ คน ที่อยากเป็นเจ้าของร้านกาแฟ
อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นธุรกิจแต่ละครั้ง มีเพียงแต่ความชอบก็อาจไม่เพียงพอ
เพราะการเปิดร้านกาแฟ โดยเฉพาะในปัจจุบัน
ไม่ได้เน้นแค่รสชาติของเครื่องดื่ม แต่บรรยากาศของร้านก็ต้องขายได้ด้วย
ดังนั้นจึงต้องอาศัยเงินทุนเข้ามาร่วมด้วย 
ซึ่งยิ่งลงทุนเยอะมากเท่าไร ก็ต้องคำนึงความเสี่ยงที่ธุรกิจจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิดด้วย
พอเรื่องเป็นแบบนี้ บาริสต้าหลายคนจึงหลีกเลี่ยงที่จะลงทุนเปิดร้านกาแฟขนาดใหญ่
และหันมาเปิดร้านกาแฟรถเข็นตามท้องถนน หรือที่เรียกว่า “สตรีตคอฟฟี” แทน
แต่สตรีตคอฟฟี ก็ไม่ใช่รถเข็นกาแฟธรรมดาทั่วๆ ไป
เพราะจะเน้นการใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และวิธีการชงที่พิถีพิถัน
โดยหนึ่งในอุปกรณ์ยอดฮิตที่นำมาใช้ชงเครื่องดื่ม ก็คือ “Moka Pot” เครื่องต้มกาแฟสัญชาติอิตาลี
เนื่องจากมีขนาดเล็กกะทัดรัด และราคาไม่แพง จึงตอบโจทย์ธุรกิจในลักษณะนี้ได้เป็นอย่างดี
ที่สำคัญด้วยรูปร่างหน้าตาของ Moka Pot ที่ดูเป็นกาชงกาแฟแบบคลาสสิก 
จึงกลายเป็นกิมมิกของร้านไปในตัว แต่ไม่ได้สวยอย่างเดียว 
เพราะกาแฟที่ได้ ก็มีรสชาติเข้มข้นได้ไม่แพ้เครื่องกาแฟชงจากเครื่องแรงดัน
สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก Moka Pot
เจ้าเครื่องต้มกาแฟจิ๋วแต่แจ๋วนี้ มีต้นกำเนิดที่ประเทศอิตาลี
คิดค้นโดยอัลฟอนโซ เบียเล็ตติ (Alfonso Bialetti) ในปี 1933
เดิมทีคุณเบียเล็ตติ ทำอาชีพเป็นช่าง เปิดโรงงานหล่ออะลูมิเนียมกึ่งสำเร็จรูปตามแบบ
แต่ด้วยพิษเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในอิตาลี ทำให้รายได้ของเขาหายไปเยอะมาก
สุดท้ายจึงมองหาตลาดใหม่ โดยที่ยังต่อยอดกิจการเหล็กอะลูมิเนียมของเขาอยู่
โดยในตอนนั้น เป็นช่วงที่ตลาดกาแฟเอสเพรสโซกำลังขยายตัวขึ้นพอดี
ราคากาแฟต่อแก้วค่อนข้างสูง และจำเป็นต้องไปดื่มที่ร้านกาแฟเท่านั้น
คุณเบียเล็ตติ มองเห็นถึงปัญหาของลูกค้า ซึ่งในอีกด้านก็ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจ 
กลายเป็น Moka Pot เครื่องต้มกาแฟ ที่สามารถใช้ชงกาแฟเองที่บ้านได้ 
ที่น่าสนใจคือ ไอเดียนี้ได้มาจาก “เครื่องซักผ้า” ของภรรยา
ซึ่งสมัยนั้น เครื่องซักผ้าจะเป็นเหมือนหม้อต้ม 
ใช้การจุดไฟด้านล่าง เพื่อทำให้น้ำเดือด เพื่อเป็นแรงดัน
สำหรับขับเคลื่อนน้ำและสบู่ไปตามท่อวนไปมา ในการทำความสะอาดเสื้อผ้า
ซึ่ง Moka Pot ก็นำหลักการนี้มาใช้ นั่นก็คือการใช้แรงดันจากน้ำเดือด
ส่งให้น้ำร้อนผ่านกาแฟ และกลายเป็นกาแฟที่เข้มข้น
ที่สำคัญ การใช้งานก็ไม่ซับซ้อน เพียงแค่เทน้ำช่องในชั้นล่างสุด ตามด้วยใส่กาแฟคั่วบดตรงตัวกรอง 
แล้ววางหม้อต้มที่เตา รอน้ำเดือดได้ที่ เราก็จะได้กาแฟดำร้อนๆ พร้อมเสิร์ฟ
แต่เพื่อการควบคุมรสชาติกาแฟให้สม่ำเสมอ ก็อาจต้องใช้ฝีมือเช่นกัน
ทั้งในเรื่องของ อุณหภูมิความร้อน ระดับน้ำ และเวลาที่แม่นยำ 
อย่างไรก็ตามหลังจากเปิดตัว Moka Pot ก็กลายเป็นอุปกรณ์ชงกาแฟที่นิยมอย่างมากของชาวอิตาลี
เรียกได้ว่า 9 ใน 10 ของชาวอิตาลีต้องมี Moka Pot อยู่ติดบ้าน
ดังนั้นจากโรงงานผลิตเครื่องต้มกาแฟเล็กๆ จึงสามารถขยายตัว 
จนกลายเป็นบริษัทผลิตเครื่องครัว ภายใต้ชื่อว่า Bialetti Industrie
ซึ่งธุรกิจของบริษัท Bialetti Industrie ก็เติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง 
เพราะไม่ได้หยุดอยู่แค่เครื่องต้มกาแฟ แต่ยังต่อยอดไปยังธุรกิจอื่นๆ 
เช่น เครื่องทำกาแฟระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์เครื่องครัวอื่น
รวมถึงมีการลงทุนและควบรวมกับบริษัทอื่นๆ เพื่อขยายตลาด
จนในปี 2007 บริษัทก็สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของอิตาลี
ซึ่งในช่วงเวลานั้น Bialetti Industrie ครองสัดส่วนตลาดเครื่องทำกาแฟได้ถึง 74% เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามหลังจากเดินทางไปสู่จุดสูงสุด ธุรกิจของ Bialetti Industrie ก็เริ่มค่อยๆ ถดถอย
รายได้และกำไรของบริษัทน้อยลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นขาดทุน ประกอบกับหนี้สินสะสมก้อนโต 
สุดท้ายก็มาถึงวันที่บริษัทยื่นขอปรับโครงสร้างหนี้ในปี 2019 
แล้วอะไรเป็นสาเหตุของเรื่องนี้?
วิกฤติของ Bialetti Industrie ดูเหมือนจะชัดเจนขึ้นในปี 2015 
ที่สภาพการเงินของธุรกิจเริ่มมีปัญหา จนต้องขายบริษัทในเครือบางส่วนออกไป
โดย Bialetti Industrie ก็เลือกที่จะนำเงินที่ได้มาลงทุนกับการทำกาแฟแบบแคปซูล
ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในขณะนั้น และแพร่หลายไปทั่วอิตาลีอย่างรวดเร็ว
แต่สุดท้ายกลับไม่สามารถสู้คู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดได้ จนกลายเป็นส่วนที่เป็นภาระของบริษัทแทน
นักวิเคราะห์บางท่านมองว่า จริงๆ แล้วบริษัทควรจะเน้นการพัฒนาหม้อต้มกาแฟที่เน้นคุณภาพ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองถนัด มากกว่าการไปจับกลุ่มตลาดกาแฟที่เน้นความสะดวก 
เพราะพอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงทำให้ Bialetti Industrie ไม่สามารถสู้คู่แข่งของแต่ละตลาด ที่โฟกัสเพียงเรื่องเดียวได้
นอกจากนั้นอีกหนึ่งคู่แข่งคนสำคัญของ Bialetti Industrie ก็คือ ร้านกาแฟที่อยู่ตามทุกหัวมุมถนน
ซึ่งให้ความสะดวกกว่าการต้มกาแฟเองที่บ้านอย่างมาก 
แม้ว่าหากย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น Bialetti Industrie จะใช้ Moka Pot มาเพื่อดึงลูกค้าจากร้านกาแฟ
แต่ต้องอย่าลืมว่า ในสมัยนั้นอิตาลีกำลังเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ
ส่วนร้านกาแฟ ก็มักจะเป็นเหมือนสถานที่สำหรับรวมตัวของเหล่าศิลปินหรือคนที่อยากถกปัญหาการเมือง 
ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่มีฐานะในสังคม
Moka Pot จึงกลายเป็นสิ่งที่มาตอบโจทย์คนในยุคนั้น ให้สามารถเข้าถึงกาแฟในราคาที่ถูกลงได้ 
ต่างกับในปัจจุบัน ที่ความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนไปแล้ว Moka Pot จึงไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์อีกต่อไป
และเมื่อปรับตัวไม่ได้ ยังหาจุดยืนของตัวเองไม่เจอ
สุดท้ายแล้ว ผู้ที่เคยชนะอย่าง Bialetti Industrie ก็อาจโดนสิ่งที่ตัวเองเคยก้าวข้ามมาได้เอาคืน
เรื่องนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ดีว่า
ไม่มีใครที่นอนอยู่เฉยๆ บนความสำเร็จได้ตลอดไป..
References:
-https://www.bialetti.co.nz/pages/the-famous-moka
-https://www.bialetti.com/it_en/accessories/small-cups-and-mugs.html
-https://finance.yahoo.com/quote/BIA.MI/
-https://www.dnb.com/business-directory/company-profiles.bialetti_industrie_spa.df117816aa6809e89985103e20222d80.html
-https://www.italianbusinesstips.com/italy-bialetti-moka-pot-disappear/
-https://www.gamberorossointernational.com/news/bialetti-risks-bankruptcy-is-the-italian-brand-truly-at-risk/
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.