
Business
Tidal สตรีมมิงเพลงที่เคยเป็นของ Jay-Z และมีศิลปินระดับโลกถือหุ้น
27 พ.ค. 2025
Tidal สตรีมมิงเพลงที่เคยเป็นของ Jay-Z และมีศิลปินระดับโลกถือหุ้น /โดย ลงทุนเกิร์ล
ถ้าถามว่าแอปฟังเพลงในโทรศัพท์ของทุกคนคือของเจ้าไหน เชื่อว่าหลัก ๆ แล้วคงจะเป็นชื่อของ Spotify, Apple Music หรือ YouTube Music ที่เราคุ้นเคยกัน
แต่วันนี้ลงทุนเกิร์ลขอพาไปรู้จักกับอีกหนึ่งผู้ให้บริการสตรีมมิงเพลง ที่เคยมีเจ้าของเป็น Jay-Z ก่อนจะขายหุ้นส่วนใหญ่ให้กับบริษัทของ Jack Dorsey ผู้ก่อตั้ง Twitter ในปี 2021
แม้จะเป็นผู้ให้บริการสตรีมมิงเพลงที่มีจุดเด่นคือคุณภาพเสียงระดับสูง ที่คนรักเสียงเพลงให้การยอมรับ
แต่ทำไม Tidal กลับไม่เป็นที่นิยมเหมือนกับเจ้าอื่น ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
จริง ๆ แล้วแพลตฟอร์มนี้มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1998 โดย 3 ผู้ประกอบการชาวสวีเดน ได้ก่อตั้งบริษัทที่ชื่อ Aspiro
ตอนนั้น Aspiro ยังไม่ได้เกี่ยวข้องกับเพลงโดยตรง แต่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายเกม เสียงเรียกเข้า บริการดูดวง และระบบส่งแฟกซ์จากโทรศัพท์ให้กับเครือข่ายมือถือ
หนึ่งในพาร์ตเนอร์ของ Aspiro ก็คือบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือตัวท็อปในอดีตอย่าง Nokia และ Ericsson นั่นเอง
กระทั่งปี 2010 บริษัท Aspiro ได้เริ่มเข้าสู่ธุรกิจให้บริการสตรีมมิงเพลงโดยร่วมกับเชนร้านซีดีและดีวีดีจากนอร์เวย์ พัฒนาแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า WiMP
และเป็นไปตามคาด WiMP ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากกลุ่มคนรักเสียงเพลง ในฐานะแพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลงที่ให้การส่งมอบคุณภาพเสียงซึ่งเหนือกว่า Spotify ที่เปิดให้บริการแล้วในขณะนั้น
ก่อนจะเริ่มขยายฐานลูกค้าเข้าตลาดยุโรป และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Tidal เพื่อให้ง่ายกับการออกเสียงของผู้ใช้งานจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ
ถึงแม้ภาพการดำเนินงานของ WiMP หรือ Tidal ในสหรัฐฯ แคนาดา และอังกฤษจะดูสดใส แต่บริษัทแม่กลับประสบปัญหาทางการเงินและต้องมองหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม
ช่วงเวลานี้เองที่จุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัทมาถึง เมื่อในปี 2015 Jay-Z แรปเปอร์ชื่อดัง ได้เข้าซื้อ Aspiro ผ่านบริษัท Project Panther Bidco ด้วยมูลค่า 1,870 ล้านบาท เพราะมองเห็นโอกาสที่จะเติบโตได้อีก
ภายใต้ความดูแลของแรปเปอร์ดัง Tidal จึงถูกวางตัวเป็น “แพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลงที่ศิลปินเป็นเจ้าของ”
เพื่อเป็นพื้นที่ให้ศิลปินได้นำเสนอผลงานของตัวเองในแบบที่ต้องการ และยังได้ส่วนแบ่งรายได้มากกว่าแพลตฟอร์มอื่น
แน่นอนว่า Tidal ได้รับการสนับสนุนจากศิลปินดังหลายรายในฐานะผู้ถือหุ้น ไม่ว่าจะเป็น Beyoncé, Nicki Minaj, Rihanna และ Usher โดยเป็นเหล่าศิลปินที่ประกาศความตั้งใจในการเข้ามาปฏิวัติวงการเพลง
แต่ก็ยังคงมีความเห็นจากอีกฝั่งที่มองว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของศิลปินร่ำรวยที่แค่อยากจะเพิ่มความมั่งคั่งก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนจากศิลปินที่มีอิทธิพลก็ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของ Tidal เพราะทำให้ได้เนื้อหา Exclusive ซึ่งสามารถดึงดูดผู้ใช้งานได้
ตัวอย่างเช่น อัลบัม ‘Anti’ ของ Rihanna ที่ปล่อยออกมาให้ฟังก่อนใคร จนทำยอดดาวน์โหลดขึ้นสู่อันดับที่ 16 บน App Store ในช่วงต้นปี 2016
แต่เมื่อดูกันที่สถิติปัจจุบันจะเห็นว่า Tidal มียอดดาวน์โหลดบน App Store อยู่อันดับที่ 104 ในหมวด Music ซึ่งแน่นอนว่าอันดับ 1 นั้นเป็นของแอปที่หลายคนคุ้นเคยอย่าง Spotify นั่นเอง
นอกจากนี้ หากดูกันต่อที่ตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดในไตรมาส 4 ปี 2024 ตามข้อมูลจาก MIDiA Research จากยอดสมาชิกแพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลงรวมแล้วกว่า 818 ล้านบัญชี
Spotify ยังครองสัดส่วนมากสุดที่ 32% ตามด้วย Tencent Music และ Apple Music ที่ 15% และ 12% ตามลำดับ ขณะที่ Amazon Music และ YouTube Music นั้นครองสัดส่วน 10%
ซึ่งจะเห็นได้ว่า Tidal ไม่ได้อยู่ในกลุ่มแพลตฟอร์มที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงเมื่อเทียบกับเจ้าอื่น
เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะแม้ Tidal จะสร้างภาพลักษณ์แตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่น และมีจุดแข็งที่คุณภาพเสียงระดับ Hi-Res FLAC แถมรองรับระบบเสียง Dolby Atmos ถ่ายทอดเสียงได้ 360 องศา
แต่แพลตฟอร์มอย่าง Spotify กลับได้เปรียบในเรื่องความหลากหลายของคอนเทนต์ และการทำงานของอัลกอริทึมที่แนะนำเพลงตรงใจผู้ฟัง ยังไม่รวมถึงคอมมิวนิตีคนรักเสียงเพลงที่ช่วยให้ Spotify ยิ่งแข็งแกร่ง
ขณะที่ Apple Music ก็มีจุดเด่นในเรื่องคุณภาพเสียง และรองรับระบบเสียง Dolby Atmos เช่นเดียวกัน และอย่างที่เรารู้กันดีว่าค่ายนี้ขึ้นชื่อในเรื่อง Ecosystem ซึ่งกลายเป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้ที่เน้นความสะดวกและการใช้งานที่ต่อเนื่อง
หรือแม้แต่ YouTube Music ก็มีจุดแข็งที่คลังเพลงจำนวนมากจาก YouTube อีกทั้งยังใช้งานได้แบบไม่ต้องจ่ายเพิ่มหากเป็นสมาชิก YouTube Premium อยู่ก่อนแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผู้ฟังอีกมากที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่น ๆ มากกว่าคุณภาพเสียงระดับสูงที่บางครั้งก็แยกความแตกต่างได้ยาก อีกทั้งคุณภาพเสียงที่ได้รับยังขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้ฟังเพลงด้วย
ดังนั้นแล้ว Tidal จึงไม่ใช่ตัวเลือกแรก ๆ สำหรับผู้ฟังหลายกลุ่ม และยังคงต้องต่อสู้อย่างหนักในสมรภูมิสตรีมมิงเพลงที่แข่งขันกันดุเดือด
คำถามต่อจากนี้คือ Tidal จะสร้างจุดเปลี่ยนใหม่ ด้วยกลยุทธ์ใด
หรือจะค่อย ๆ เงียบหายไปจากสมรภูมิอย่างน่าเสียดาย
แม้จะมีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่แพ้ใครก็ตาม..
หรือจะค่อย ๆ เงียบหายไปจากสมรภูมิอย่างน่าเสียดาย
แม้จะมีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่แพ้ใครก็ตาม..