ถอดบทเรียนธุรกิจ แบรนด์แฟชั่นคนไทย เจ้าแม่ Sold Out สร้างแบรนด์อย่างไรให้ลูกค้าแย่งกันซื้อ
Business

ถอดบทเรียนธุรกิจ แบรนด์แฟชั่นคนไทย เจ้าแม่ Sold Out สร้างแบรนด์อย่างไรให้ลูกค้าแย่งกันซื้อ

11 ก.ค. 2025
ถอดบทเรียนธุรกิจ แบรนด์แฟชั่นคนไทย เจ้าแม่ Sold Out สร้างแบรนด์อย่างไรให้ลูกค้าแย่งกันซื้อ /โดย ลงทุนเกิร์ล
ในช่วงเวลาที่คนทำธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งการแข่งขันอันดุเดือดขึ้นจากทั้งรายใหญ่และรายเล็ก ซึ่งสวนทางกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง
แต่ในวงการแฟชั่นไทย กลับมีแบรนด์ที่ยังคงเป็นดาวเด่นสวนทางบรรยากาศเศรษฐกิจ
เพราะถ้าลองมาดูผลประกอบการของแบรนด์ต่อไปนี้
GENTLEWOMAN ปี 2567 ที่ผ่านมา
รายได้ 2,067 ล้านบาท กำไร 618 ล้านบาทRally Movement ปี 2567 ที่ผ่านมา
รายได้ 459 ล้านบาท กำไร 201 ล้านบาท
อะไรคือจุดแข็งที่ทำให้ทั้งสองแบรนด์ ยังคงรักษาการเติบโตได้ ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
GENTLEWOMAN ก่อตั้งเมื่อปี 2561 โดยคุณแพง-รยา วรรณภิญโญ และกลุ่มเพื่อนจากคณะบัญชี จุฬาฯ ก่อนจะกลายมาเป็นกระแสในช่วงวิกฤติโรคระบาด
และนับตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปีที่ผ่านมา GENTLEWOMAN ทำรายได้เติบโตเฉลี่ย 130.5% ต่อปี กำไรเติบโตเฉลี่ย 235.8% ต่อปี
ปัจจุบันถือว่าเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เป็นที่ต้องการของทั้งลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ
มีสินค้ายอดฮิตอย่างกระเป๋าผ้า GW Canvas Tote Bag และ GENTLEWOMAN Dumpling Bag กระเป๋าเกี๊ยวดิไซน์เก๋ แปะโลโกแบรนด์ขนาดใหญ่ซึ่งกลายมาเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้กระเป๋าของ GENTLEWOMAN มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
ขณะที่ Rally Movement ของคุณเค้ก-อภิพรรณ มงคลพาณิชยกิจ และคุณปั๊ม-นิธิศ วงศ์สวัสดิ์ แบรนด์ไทยเจ้าของกระเป๋าทรง Bucket ตัวดัง ชนิดที่ว่าสามารถขายหมดในหลักวินาที
หากมาดูที่ผลประกอบการของ Rally Movement ซึ่งสอดคล้องกับความนิยมของแบรนด์ที่เราเห็นกัน โดยช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี 2563-2567 รายได้เติบโตเฉลี่ย 173.3% ต่อปี และกำไรเติบโตเฉลี่ย 217.5% ต่อปี
แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้ทั้งสองแบรนด์ยืนระยะความฮิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ ?
ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
ในการที่จะทำให้แบรนด์สามารถอยู่ได้อย่างมั่นคง ทั้งสองแบรนด์มีกลยุทธ์ที่คล้ายกันคือ การให้ความสำคัญกับการออกแบบสินค้าโดยยึดลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง (Customer Centric)
อย่าง GENTLEWOMAN ก็เชื่อว่าการตลาดที่คุ้มค่าที่สุด คือ “สินค้าที่ตรงใจลูกค้า”
ดังนั้นกว่าจะออกสินค้าใหม่แต่ละครั้ง ทางแบรนด์ได้เก็บข้อมูลจากคอลเลกชันเก่าเพื่อนำมาวิเคราะห์ และพัฒนาเป็นสินค้าใหม่ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
หรือแม้แต่ในช่วงโควิด-19 GENTLEWOMAN ก็ได้ปรับเปลี่ยนสินค้าให้เข้ากับสถานการณ์ เช่น เปลี่ยนผ้าปูนอนชายหาดในคอลเลกชันฤดูร้อน มาเป็นผ้าห่มสำหรับทำงานที่บ้าน
ขณะที่ Rally Movement เองก็ให้ความสำคัญกับการเก็บข้อมูลลูกค้า ระดมไอเดีย ใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้สินค้าออกมา และต้องผ่านการทดลองใช้กันเองก่อน เพื่อให้ทราบทั้งจุดเด่นและจุดด้อยของสินค้าก่อนวางขายจริง
กระเป๋าตัวฮิตอย่าง Rally The Bag ก็มีโจทย์สำคัญคือฟังก์ชันการใช้งาน ที่ผ่านการคิดมาแล้วว่าต้องมีน้ำหนักเบา ใส่ของได้เยอะ แต่ก็ต้องสวย คลาสสิก เข้าได้กับทุกชุด ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หลายคนต้องการ
หาจุดเด่นของแบรนด์ให้เจอ
สิ่งที่ทำให้คนเริ่มรู้จัก GENTLEWOMAN และจำได้ มาจากลวดลายบนกระเป๋า ซึ่งก็คือโลโกชื่อแบรนด์ขนาดใหญ่สะดุดตา จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ทำให้คนเห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่านี่คือแบรนด์อะไร
นอกจากนี้ทางแบรนด์ยังใช้วิธีออกสินค้าบ่อย ๆ ซึ่งมีทั้งคอลเลกชันใหม่จากแบรนด์เอง รวมถึงคอลเลกชันคอลแลบกับดิไซเนอร์หรือแบรนด์อื่น ๆ ให้ลูกค้าเห็นความสดใหม่ และความหลากหลาย จนกลายเป็นพื้นที่ให้ได้แวะเวียนมาอยู่เสมอ
เช่นเดียวกับ Rally Movement ที่มีจุดเด่นในการนำโลโกมาเป็นลูกเล่นอยู่ในสินค้าได้อย่างลงตัว
และยังมีการนำดิไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์อย่างความเชี่ยวชาญด้าน Knitwear หรือเสื้อผ้าถัก ทอลายโลโกด้วยเทคนิค Sturdy Stretch Knit ออกมาเป็นกระเป๋า Rally The Bag ตัวซิกเนเชอร์ ที่ทำให้แบรนด์ยิ่งเป็นที่ต้องการมากขึ้น
ยังไม่รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ อย่างราคาที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า และการสร้าง Brand Awareness อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการออกสินค้าที่หลากหลายในแบบฉบับของ GENTLEWOMAN
หรือการโปรโมตสินค้าผ่านโซเชียลมีเดียของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์หรือคนดัง จนทำให้เราเห็นโลโก Rally Movement ผ่านหน้าไทม์ไลน์เสมอ
จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ทั้งสองแบรนด์มีเหมือนกันคือการผสมผสานระหว่างตัวตนที่ชัดเจนของแบรนด์ และสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
ซึ่งก็ต้องมาจากการพยายามทำความเข้าใจตลาด และไม่หยุดที่จะปรับตัว..
References :
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, ช่องทางออนไลน์ของแบรนด์, บทสัมภาษณ์จากลงทุนเกิร์ล, รายการ DAY BUILD
© 2025 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.