Din Tai Fung ทำอย่างไร ถึงเป็นเชนร้านอาหาร รายได้ต่อสาขาสูงสุดในสหรัฐฯ
Business

Din Tai Fung ทำอย่างไร ถึงเป็นเชนร้านอาหาร รายได้ต่อสาขาสูงสุดในสหรัฐฯ

16 ต.ค. 2025
Din Tai Fung ทำอย่างไร ถึงเป็นเชนร้านอาหาร รายได้ต่อสาขาสูงสุดในสหรัฐฯ /โดย ลงทุนเกิร์ล
ใครจะไปคิดว่า ร้านติ่มซำจากไต้หวันอย่าง Din Tai Fung จะกลายเป็นเชนร้านอาหารที่มีรายได้เฉลี่ยต่อสาขา สูงสุดในสหรัฐอเมริกา..
แต่ข้อมูลล่าสุด จากบริษัทวิจัยอุตสาหกรรม Technomic พบว่าในปี 2024 Din Tai Fung มีทั้งหมด 16 สาขา ซึ่งแต่ละสาขาสร้างรายได้เฉลี่ยประมาณ 894 ล้านบาทต่อปี
ตัวเลขนี้สูงกว่ารายได้ต่อสาขาของ The Cheesecake Factory ถึง 2 เท่า และคิดเป็นเกือบ 3 เท่าของเชนร้านอาหารญี่ปุ่นระดับไฮเอนด์อย่าง Nobu เลยทีเดียว
เรื่องราวของ Din Tai Fung น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
Din Tai Fung คือ ร้านอาหารติ่มซำจากไต้หวัน ก่อตั้งขึ้นโดยคุณ Yang Bing-Yi ชายที่อพยพจากจีนมาไต้หวัน
เดิมทีเขาเป็นพนักงานส่งของร้านขายน้ำมันปรุงอาหารชื่อ Hen Tai Fung แต่ต่อมาร้านนี้ขาดทุนจนต้องปิดกิจการลง
คุณ Yang จึงลงทุนเปิด “Din Tai Fung” ร้านค้าปลีกน้ำมันปรุงอาหารขึ้นมาในปี 1958 หรือเมื่อ 67 ปีที่แล้ว
โดยเขาได้ไอเดียตั้งชื่อร้านมาจาก บริษัทคู่ค้าที่จัดหาน้ำมันปรุงอาหารให้อย่าง Din Mei Oils รวมเข้ากับ Hen Tai Fung เพื่อให้เกียรติแก่เจ้านายเก่าที่เคารพ
แต่เมื่อธุรกิจเริ่มซบเซาในปี 1972 คุณ Yang ก็ได้รับคำแนะนำให้ขายอาหารควบคู่กันไป
ซึ่งเขาเลือกขายติ่มซำที่ตนเองคุ้นเคยอย่าง “เสี่ยวหลงเปา” หรือ ซาลาเปาขนาดเล็ก สอดไส้หมูบดและน้ำซุปเข้มข้น เมื่อกัดคำแรกจะรู้สึกถึงน้ำซุปอุ่น ๆ ทะลักออกมา
ผลปรากฏว่า เมนูนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากในเวลานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไรนัก ที่จะหาเสี่ยวหลงเปากินได้
เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ คุณ Yang จึงตัดสินใจเลิกขายน้ำมันปรุงอาหาร แล้วหันมาปั้นธุรกิจร้านติ่มซำแบบเต็มตัว และด้วยคุณภาพความอร่อย ชื่อเสียงของร้านก็ค่อย ๆ เติบโตจากการบอกต่อ
จนกระทั่งในปี 1993 จุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อ The New York Times ยกให้ Din Tai Fung เป็น 1 ใน 10 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลก
ส่งผลให้ร้านโด่งดังไปทั่วโลก และกลายเป็นจุดหมายของบรรดานักท่องเที่ยว แม้ในตอนนั้นจะมีแค่สาขาในไต้หวัน
จากนั้น Din Tai Fung ก็เริ่มขยายสู่ต่างประเทศ โดยเปิดสาขาแรกที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี 1996 และได้รับรางวัล Michelin Star จากสาขาฮ่องกง ในปี 2010
ปัจจุบัน Din Tai Fung มี 173 สาขา ใน 13 ประเทศ
สำหรับในสหรัฐอเมริกา มีทั้งหมด 17 สาขา โดยมีสาขาหนึ่งอยู่ใน Disneyland แคลิฟอร์เนียอีกด้วย
ซึ่งการที่ Din Tai Fung เป็นเชนร้านอาหารที่มีรายได้เฉลี่ยต่อสาขาสูงสุดในสหรัฐอเมริกา มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ
ร้านอาหารมีขนาดใหญ่ รองรับลูกค้าได้เยอะลูกค้าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิล ประมาณ 1,470 บาทต่อคนร้านอาหารมีลูกค้าจำนวนมาก
แล้ว Din Tai Fung ทำอย่างไรถึงมัดใจลูกค้าในสหรัฐอเมริกา ?
คุณภาพและความสม่ำเสมอ
เสี่ยวหลงเปาทุกลูกจะมีน้ำหนัก 21 กรัมพอดี แบ่งเป็นไส้ 16 กรัม แป้ง 5 กรัม และต้องพับจีบ 18 จีบ ไม่ว่าลูกค้าไปสาขาไหนก็จะได้ทานเสี่ยวหลงเปา หรืออาหารจานอื่น ๆ ในมาตรฐานเดียวกัน
อีกทั้ง Din Tai Fung ยังลงทุนมหาศาลไปกับการฝึกอบรมพนักงาน เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดี และเปลี่ยนลูกค้าใหม่ให้กลายเป็นลูกค้าประจำ
การบริหารยุคใหม่ของทายาทรุ่นที่ 3
ทุกวันนี้ Din Tai Fung North America มีหลานชายของผู้ก่อตั้งอย่างคุณ Aaron Yang และคุณ Albert Yang เป็นซีอีโอร่วม (Co-CEOs) บริหารธุรกิจในสหรัฐอเมริกา
ทั้งคู่ได้เปลี่ยนแนวทางการบริหารมาเน้น “ข้อมูลและเสียงจากลูกค้า” โดยให้ทีมงานติดตามรีวิวบน Yelp, Google อย่างใกล้ชิด และคอยแก้ปัญหาตามฟีดแบ็กของลูกค้า ซึ่งโบนัสของพนักงานจะผูกกับคะแนนรีวิวที่ดีด้วย
อัตลักษณ์ของแบรนด์ + ความเป็นสากล
Din Tai Fung ต่างจากร้านเอเชียทั่วไปที่มักนำเสนออาหารแบบฟิวชันเอเชีย ด้วยการยึดมั่นในภาพลักษณ์ “ร้านอาหารจีนแท้” รักษารสชาติดั้งเดิมไว้
แต่ก็มีการปรับบางองค์ประกอบให้เข้ากับท้องถิ่น อย่างในสหรัฐอเมริกา ที่ไก่เป็นโปรตีนอันดับ 1 ที่คนอเมริกันรับประทาน แบรนด์ก็มีการเพิ่มเมนู เช่น เสี่ยวหลงเปาที่ใช้ไก่หรือเนื้อวัวแทนหมู ข้าวผัดไก่ เกี๊ยวไก่ และเกี๊ยววีแกน
การตลาดแบบออร์แกนิก
แม้ว่า Din Tai Fung แทบจะไม่ทำการตลาดใด ๆ แต่แบรนด์ก็ได้รับการบอกต่อจากวิดีโอที่เป็นไวรัล ตัวอย่างเช่น คลิปลูกค้ากัดเสี่ยวหลงเปาไส้ช็อกโกแลตเยิ้ม ๆ คลิปสลัดแตงกวาที่เสิร์ฟมาในรูปแบบพีระมิด
คลิปเชฟที่กำลังคลึงแป้งเกี๊ยวในครัวที่มองเห็นได้ผ่านกระจก ไปจนถึงคลิป “Everything I Ate at Din Tai Fung” ที่มีอยู่มากมายบนโลกออนไลน์
ทั้งหมดนี้ ก็คือเหตุผลที่ร้านติ่มซำเล็ก ๆ จากไต้หวัน มีรายได้เฉลี่ยต่อสาขาในสหรัฐฯ สูงที่สุดในปัจจุบัน..
References :
Bloomberg, BusinessInsider, RestaurantBusiness
© 2025 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.