ถ้าญาติไม่ได้ทำพินัยกรรมก่อนเสียชีวิต แบบในเรื่อง “ลักกันวันตาย” จะจัดการบัญชีการเงินของผู้ตายอย่างไร
Economy

ถ้าญาติไม่ได้ทำพินัยกรรมก่อนเสียชีวิต แบบในเรื่อง “ลักกันวันตาย” จะจัดการบัญชีการเงินของผู้ตายอย่างไร

17 ต.ค. 2025
ถ้าญาติไม่ได้ทำพินัยกรรมก่อนเสียชีวิต แบบในเรื่อง “ลักกันวันตาย” จะจัดการบัญชีการเงินของผู้ตายอย่างไร /โดย ลงทุนเกิร์ล
หลายคนคงจะเห็น “ลักกันวันตาย” ภาพยนตร์เรื่องใหม่จาก Netflix ที่เป็นเรื่องราวของนายธนาคาร 2 คน แอบลักลอบนำเงินในบัญชีของคนตาย ออกมาใช้ส่วนตัว 
ซึ่งทำให้ “ลูก” ที่เป็นทายาทตามกฎหมายของผู้ตาย ต้องออกตามหาเงินก้อนนั้น เพราะผู้ตายไม่ได้ทิ้งพินัยกรรมใด ๆ ไว้ 
แล้วสงสัยหรือไม่ว่า หากเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน อย่างพ่อแม่เสียชีวิตกะทันหัน โดยที่ไม่ได้ทำพินัยกรรมก่อนตายไว้เหมือนในภาพยนตร์ 
เราที่เป็นลูก จะต้องทำอย่างไรต่อ ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง 
ตามขั้นตอนโดยทั่วไปแล้ว เมื่อมีผู้เสียชีวิต สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การแจ้งตาย ภายใน 24 ชั่วโมง 
โดยผู้พบศพ มีหน้าที่แจ้งเรื่องต่อนายทะเบียนในท้องที่ เพื่อออกใบมรณบัตรให้ครอบครัวหรือทายาท นำเอกสารไปใช้ดำเนินการเรื่องอื่น ๆ ต่อ 
ในกรณีการแจ้งตายเกินกว่า 24 ชั่วโมง ผู้อำนวยการทะเบียนกลางอาจขยายเวลาให้ตามสมควร แต่ไม่ควรเกิน 7 วัน เพราะอาจมีค่าปรับ หลังจากนั้นเราจะได้รับใบมรณบัตร
คราวนี้ มาถึงคำถามที่ว่าเราจะเข้าถึงบัญชีการเงินของผู้ตายได้อย่างไร โดยในบทความนี้ เราจะพูดถึงประเด็นเรื่องของบัญชีเงินฝากเท่านั้น ไม่นับรวมทรัพย์สินอื่น ๆ ของผู้ตาย
1. ไปร้องขอศาลเป็น “ผู้จัดการมรดก” 
เมื่อมีคนไปแจ้งธนาคารถึงการเสียชีวิตของเจ้าของบัญชี เงินในบัญชีนั้นจะถือเป็น “ทรัพย์มรดก” และจะถูกระงับการทำธุรกรรม ทำให้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ทันที
ดังนั้น ทายาทโดยธรรม จะต้องยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอให้มีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็น “ผู้จัดการมรดก” (กรณีผู้เสียชีวิต มีลูกมากกว่า 1 คน ต้องให้ลูกคนอื่นเซ็นชื่อยินยอมให้คนใดคนหนึ่งเป็นผู้จัดการมรดก)
ซึ่งผู้จัดการมรดก คือ ตัวแทนทางกฎหมายที่ถูกแต่งตั้งจากศาล มีหน้าที่เป็นผู้จัดการทรัพย์สินให้กับทายาททุกคน และชำระหนี้สินของผู้เสียชีวิต 
ในกรณีที่ผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมมรดกเอาไว้ล่วงหน้า ทายาทโดยธรรมตามลำดับ จะเป็นผู้ได้สิทธิรับมรดก 
โดยเรียงตามลำดับดังนี้ 
1. ผู้สืบสันดาน (ลูกเจ้าของมรดก)
2. บิดามารดา
3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
4. พี่น้องร่วมบิดา หรือร่วมมารดาเดียวกัน
5. ปู่ ย่า ตา ยาย 
6. ลุง ป้า น้า อา
ทายาทดังกล่าว มีสิทธิยื่นคำร้องเพื่อขอแต่งตั้งเป็น ผู้จัดการมรดก ซึ่งขั้นตอนนี้อาจว่าจ้างทนาย หรือจัดการยื่นคำร้องด้วยตัวเองได้ โดยรวบรวมเอกสารยื่นต่อศาลแพ่ง หรือศาลจังหวัดในพื้นที่ที่ผู้ตายมีภูมิลำเนา
โดยเอกสารเบื้องต้นที่ต้องเตรียมไปยื่น คือ 
- ใบมรณบัตรของผู้เสียชีวิต
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้เสียชีวิต
- สำเนาบัตรประชาชนของผู้ขอเป็นผู้จัดการมรดก
ภายหลังจากศาลพิจารณาคำร้อง และเห็นชอบแล้ว ศาลจะออก “หนังสือแต่งตั้งผู้จัดการมรดกจากศาล” อย่างเป็นทางการ เพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการจัดการทรัพย์สินของผู้ตายต่อไป 
2. ไปติดต่อธนาคาร โดยเบื้องต้นให้นำเอกสารสำคัญไปดังนี้ 
- หนังสือแต่งตั้งผู้จัดการมรดกจากศาล 
- สำเนาบัตรประชาชนของผู้จัดการมรดก 
- ใบมรณบัตรของผู้เสียชีวิต 
- สมุดบัญชีของผู้เสียชีวิต (ถ้ามี) 
จากนั้น ผู้จัดการมรดก ก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่า จะปิดบัญชี โอนเงินในบัญชี หรือเปลี่ยนชื่อบัญชีเงินฝากให้เป็นชื่อตนเอง 
สุดท้าย สิ่งที่ควรจำไว้คือ เงินในบัญชีของผู้เสียชีวิต ถือเป็น “ทรัพย์มรดก” ซึ่งไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกอย่างเป็นทางการ
หากมีผู้ใดพยายามถอนหรือโอนเงินออกไปก่อนขั้นตอนก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นลูกหลานหรือญาติใกล้ชิด ก็อาจเข้าข่ายยักยอกทรัพย์มรดกได้ 
ดังนั้น คนในครอบครัวควรพูดคุยและเตรียมการเรื่องทรัพย์สินตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในอนาคต แบบในเรื่อง “ลักกันวันตาย”..
References :
- ธนาคารอาคารสงเคราะห์, สถาบันอนุญาโตตุลาการ, สำนักงานกิจการยุติธรรม
© 2025 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.