ดิไซน์คล้ายกันผิดไหม ? หากคู่แข่งทำสินค้าคล้ายเรา เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากที่เดียวกัน
Business

ดิไซน์คล้ายกันผิดไหม ? หากคู่แข่งทำสินค้าคล้ายเรา เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากที่เดียวกัน

7 พ.ย. 2025
ดิไซน์คล้ายกันผิดไหม ? หากคู่แข่งทำสินค้าคล้ายเรา เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากที่เดียวกัน /โดย ลงทุนเกิร์ล
เมื่อสัปดาห์ก่อนเกิดประเด็นร้อนในห้องชงชา เมื่อมี 2 แบรนด์ดัง ทำถ้วย Chawan หรือถ้วยสำหรับชงมัทฉะในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน จนทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน 
ซึ่งทางแบรนด์ทั้ง 2 ฝั่งก็ออกมาแถลงการณ์ ว่าได้รับ Inspiration มาจากถ้วยชาแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นทรัพย์สินสาธารณะ ไม่ได้ Copy แบรนด์ไหนทั้งนั้น 
เรื่องนี้ทำให้หลายคนสงสัย ว่าแล้วแบรนด์ที่ทำถ้วย Chawan ในลักษณะนี้ภายหลัง จะเรียกว่าลอกเลียนแบบแบรนด์ที่ทำก่อน หรือเพียงได้รับแรงบันดาลใจมาจากถ้วยชาแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นกันแน่ 
แล้วหากเกิดเรื่องทำนองนี้กับแบรนด์ของเราบ้าง ควรจัดการอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง 
ก่อนอื่นต้องอธิบายความแตกต่างระหว่าง Copy (การลอกเลียนแบบ) และ Inspiration (การได้รับแรงบันดาลใจ) ซึ่งขอยกความหมายจากสารานุกรมของ Britannica 
- Copy คือ การคัดลอกเอาต้นฉบับนั้นมาตรง ๆ ทุกอย่างทุกประการ ไม่เปลี่ยนแปลงใด ๆ  
- Inspiration คือ การเอาต้นฉบับมาเป็นแนวทางเบื้องต้น และใส่ความคิดสร้างสรรค์ของตนเองเพิ่มเข้าไป หรือภาษาทางการคือ สิ่งที่ทำให้ใครสักคนเกิดแนวคิดในการทำอะไรสักอย่าง 
ทีนี้ ปัญหามักจะไม่เกิดขึ้น หากวัตถุหรือสิ่งนั้น เป็นสิ่งของที่เกิดขึ้นใหม่ เพราะสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นใหม่ หรือสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน หลายคนคงรู้ว่าเราสามารถขอจดสิทธิบัตรได้
แต่ในกรณีนี้ สิ่งที่เราจะพูดถึงคือสินค้าที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “ทรัพย์สินสาธารณะ” (Public Domain) หมายถึง สิ่งของที่ไม่ได้มีเจ้าของโดยเฉพาะ 
ทุกคนสามารถนำไปใช้ ดัดแปลง หรือต่อยอดได้อย่างเสรี ซึ่งมักเป็นวัตถุพื้นฐานที่มีมานานจนไม่มีเจ้าของที่แท้จริง และมักเห็นได้ในชีวิตประจำวันของเรา 
ยกตัวอย่างเช่นพวกของรูปทรงพื้นฐาน เช่น ถ้วยดินเผา ถ้วยทรงกลม หรือโคมไฟทรงกระบอก อ้างอิงจาก The Met Museum พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา 
ของเหล่านี้ถือว่าอยู่ใน Public Domain เพราะเป็นรูปทรงพื้นฐานที่สืบทอดมานานจนกลายเป็นของส่วนรวม ทุกคนสามารถนำไปปรับปรุง ดัดแปลงต่อได้ 
คราวนี้ มาถึงคำถามที่ว่า ถ้าเราผลิตสินค้า ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Public Domain เหมือนกัน คล้ายกับในกรณีถ้วยชงมัทฉะ ที่มีต้นกำเนิดมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษ
เรานำมาปรับปรุงรูปลักษณ์ เปลี่ยนวัสดุ หรือเส้นโค้ง มุม และองศาใด ๆ จะป้องกันการถูกลอกเลียนแบบอย่างไรได้บ้าง ? 
1. ไปจดทะเบียน “สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์”
กรณีที่เรานำ Public Domain มาปรับปรุงให้เกิดรูปร่างหรือลักษณะภายนอกที่ใหม่ และไม่เคยมีผู้ใช้แพร่หลายมาก่อนในประเทศไทย เช่น มีเส้นโค้งเฉพาะแบบ หรือลายพื้นผิวเฉพาะตัว 
เราสามารถยื่นขอจดสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Design Patent) กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ ยกตัวอย่างแบรนด์ที่มีการจดจริง ๆ เช่น ขวดน้ำดื่มเนปจูน ชุดชั้นในของวาโก้ ขวดน้ำหอมแบรนด์ Bath & Body Works
หากจดสำเร็จ รูปร่างที่ได้รับการปรับปรุงนั้น จะได้รับความคุ้มครอง 10 ปี เมื่อไรที่มีแบรนด์อื่นหลังจากนี้ มาทำซ้ำรูปร่างเดียวกันโดยไม่ได้รับอนุญาต จะถือเป็นการละเมิดสิทธิบัตรทันที 
แต่ต้องระวังว่ารูปร่างที่เราออกแบบนั้น ต้องไม่เคยเผยแพร่ต่อสาธารณะก่อนยื่นจด แม้แต่การโพสต์ลงโซเชียลมีเดียก็ไม่ได้ เพราะจะถือว่า “ไม่ใหม่” และอาจถูกปฏิเสธสิทธิบัตรได้ 
2. ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย กรณีการลวงขาย
กรณีที่เรายังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือสินค้าที่เราผลิต มีรูปร่างหรือลักษณะภายนอกยังไม่ใหม่มากพอ ทำให้ไม่ผ่านการจดสิทธิบัตร  
แต่ภายหลังมีแบรนด์อื่นมาใช้เครื่องหมายการค้า หรือมีองค์ประกอบสินค้าที่คล้ายคลึงกับแบรนด์เรา เช่น แพ็กเกจจิง, ชื่อ หรือ สโลแกน
เราสามารถฟ้องทางแพ่งภายใต้ฐาน “การละเมิดทั่วไป” หรือฟ้องอาญา กรณีเป็นการ “ลวงขาย” หรือ “การทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดในแหล่งที่มา (Passing Off / Misrepresentation)” ภายใต้กฎหมายไทย 
เพียงแต่ต้องมีหลักฐานชัดเจนเพียงพอ ว่าทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิดสินค้าจริง และวิธีนี้ควรปรึกษาทนาย เพื่อรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ ในการว่าความตามชั้นศาลต่อไป 
โดยสรุปแล้ว ในทางจรรยาบรรณของการออกแบบและธุรกิจ การได้รับแรงบันดาลใจจาก Public Domain ถือเป็นเรื่องปกติที่ไม่ผิด และอาจจะเกิดขึ้นให้เห็นได้อยู่บ่อยครั้ง 
แต่การนำ Public Domain มานำเสนอในรูปแบบใหม่นั้น ควรมีจรรยาบรรณ และมีการใส่ความคิดสร้างสรรค์ของตนเองเข้าไปอย่างเพียงพอ เพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ ทั้งจากต้นฉบับเดิม และแบรนด์อื่น ๆ ในตลาดอย่างชัดเจน 
และเราก็ควรนำแบรนด์ไปจดเครื่องหมายการค้า เพราะแม้จะจดสิทธิบัตรไม่ได้ ก็ยังสามารถจด Trademark เพื่อคุ้มครองเอกลักษณ์แบรนด์ ป้องกันไม่ให้คู่แข่งใช้ชื่อหรือโลโกที่คล้ายคลึงจนทำให้ผู้บริโภคสับสนได้
ทั้งหมดก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด และยังเป็นการให้เกียรติแบรนด์อื่น ๆ หรืออย่างน้อยก็เป็นการให้เกียรติความคิดสร้างสรรค์ของแบรนด์ตนเองด้วยเช่นกัน..
References :- กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์, TGC Thailand, Britannica
© 2025 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.