เส้นทางของ โอปอล์-พิไลวรรณ จากศูนย์ สู่นางแบบโกอินเตอร์
Inspiration

เส้นทางของ โอปอล์-พิไลวรรณ จากศูนย์ สู่นางแบบโกอินเตอร์

2 มิ.ย. 2021
เส้นทางของ โอปอล์-พิไลวรรณ จากศูนย์ สู่นางแบบโกอินเตอร์ /โดย ลงทุนเกิร์ล
“นางแบบ” อาชีพที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน 
เพราะแค่โพสท่าสวย ๆ เดินไม่กี่ก้าว ก็ได้เงินก้อนโตมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉากหน้าที่สวยงามเหล่านี้ แน่นอนว่าต้องแลกมาด้วย “ต้นทุน”
ต้องไปเข้าคอร์สเสริมบุคลิกภาพ ต้องทานอาหารดี ๆ เพื่อรักษารูปร่าง 
หรือแม้แต่การจะได้งานมา ก็อาจจะต้องใช้ต้นทุนด้านความสัมพันธ์ หรือคอนเน็กชัน
ซึ่งแค่จะเป็นนางแบบในประเทศ ก็น่าจะเป็นเรื่องยากแล้ว 
แต่คุณโอปอล์-พิไลวรรณ พิมพ์ภูลาด กลับก้าวสู่การเป็นนางแบบในระดับ “อินเตอร์”
ที่เปิดตัวด้วยการเป็นนางแบบของน้ำหอม David Beckham 
โดยที่ต้นทุนชีวิตของเธอ ก็เรียกได้ว่า “แทบจะเป็นศูนย์” 
แล้วเส้นทางจากศูนย์ สู่นางแบบโกอินเตอร์ ของเธอจะเป็นอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟังค่ะ
พื้นเพของคุณโอปอล์เป็นคนจังหวัดอุดรธานี ชีวิตวัยเด็กค่อนข้างลำบาก
ต้องช่วยที่บ้านทำงาน และรับจ้างหารายได้เสริม ไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่น ๆ 
หรือแม้กระทั่ง “อาชีพนางแบบ” ก็ยังไม่เคยเป็นความใฝ่ฝันของเธอเลยด้วยซ้ำ
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ โครงหน้าและสีผิวของคุณโอปอล์ ไม่ได้สวยแบบ “พิมพ์นิยม” ของสังคม
ประกอบกับสภาพแวดล้อมตอนนั้น ก็ทำให้เด็ก ๆ ไม่ได้รู้จักสายอาชีพนี้มากนัก 
คุณโอปอล์ จึงคิดไปว่าอยากเข้ารับราชการ ไม่ก็เป็นคุณครู 
แต่จุดเปลี่ยนแรกในชีวิตของเธอก็เริ่มขึ้น หลังจากที่เธอดิ้นรนจนสามารถเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ 
โดยเธอเลือกเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
การเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ จึงเปรียบได้กับการเปิดโลกของเธอเลยก็ว่าได้ 
และยังทำให้เธอได้ยินข่าวของคุณยุ้ย รจนา เพชรกัณหา 
ซึ่งเป็นคนที่มีโครงหน้าชัดเจน ตามแบบฉบับชาวอีสาน คล้ายกับคุณโอปอล์ 
แต่เธอก็สามารถเป็นนางแบบ ที่สร้างชื่อในเวทีต่างประเทศได้ 
เรื่องนี้เองที่ทำให้คุณโอปอล์รู้จักสายอาชีพนางแบบ 
รวมถึงได้รู้ว่าคนที่มีโครงหน้าแบบเธอ ก็สามารถเป็นนางแบบได้เหมือนกัน
ช่วงนั้นคุณโอปอล์เรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ซึ่งต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย และยังต้องเดินตามความฝันในสายอาชีพโมเดลด้วย
แต่เพราะคุณโอปอล์ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะไปเข้าคอร์สเสริมบุคลิกภาพ หรือจ้างโมเดลลิง
จึงได้แต่หาข้อมูลเองผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งบางครั้งก็จริงบ้าง โดนหลอกบ้าง
จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ สั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ เริ่มเข้าประกวดในเวทีเฟ้นหานางแบบ แม้ว่าจะไม่ได้รางวัลชนะเลิศ รวมถึงเดินสายไปแคสต์งานหน้ากล้อง
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่งานในประเทศส่วนใหญ่ ก็จะมีการนิยาม “ความสวย” ที่ไม่ได้ตรงกับคุณโอปอล์นัก
ทำให้เธอไม่ค่อยได้เป็นตัวหลัก และต้องไปทดสอบบทจำพวกแม่ค้า สาวโรงงาน หรือพนักงานบาร์ 
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังแคสต์ไม่ผ่าน ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอยัง “สวยไม่พอ” กับบทแม่ค้าส้มตำ 
ซึ่งการไปแคสต์แต่ละครั้ง ก็แลกมาด้วยต้นทุนค่าเดินทางไปกลับ 
แม้ว่าสำหรับคนอื่น จะเป็นเงินไม่กี่ร้อยกี่พัน 
แต่สำหรับคุณโอปอล์ นั่นคือจำนวนแลกเงินเก็บจากการทำงานเสริม ที่สามารถใช้กินอยู่ได้ทั้งเดือน
จากคำปฏิเสธครั้งแรก ก็ตามด้วยคำปฏิเสธครั้งต่อ ๆ มา จนเธอเองก็เริ่มรู้สึกท้อ 
จนอยู่มาวันหนึ่ง คุณโอปอล์ ก็ได้รับการติดต่อให้ไปแคสต์งานอีกรอบ ซึ่งก็บอกเพียงว่าสินค้าเป็นน้ำหอม 
ตอนนั้นเธอไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันมาก 
ในใจคิดแค่ว่า จากวันแรกที่เริ่มต้นเดินในสายนี้ ก็ผ่านมาแล้ว 2 ปี
โดนปฏิเสธมาแล้ว 30 ครั้ง ถ้ามีครั้งที่ 31 จะเป็นอะไรไป
แต่ด้วยความที่ “ไม่พยายาม” นี้เอง จึงทำให้การแคสต์งานในครั้งนั้นดูเป็นธรรมชาติ 
และสุดท้ายความเป็นตัวของตัวเองนี้ ก็ทำให้เธอได้รับงานเป็นนางแบบ
ใน TVC น้ำหอม David Beckham ซึ่งออกอากาศในหลาย ๆ ประเทศ 
เหตุการณ์ครั้งนี้ ก็เป็นเหมือนกับ “ประตู” สู่อาชีพสายนางแบบอย่างเต็มตัว 
เนื่องจากพอมีประสบการณ์ จากงานระดับอินเตอร์มาก่อน ไปยื่นพอร์ตที่ไหน ก็ได้รับการพิจารณาง่ายขึ้น 
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า
เส้นทางที่ราบรื่นของคุณโอปอล์ จะไม่ได้ต้องอาศัยความพยายามเลย 
เธอเล่าว่า เราต้อง “สตรอง” เพราะเวลาไปแคสต์ ก็ไม่ใช่ว่าเราจะได้งานทุกครั้ง
มันต้องประกอบด้วย จังหวะ โอกาส ความพร้อม 
ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้จึงเป็น การหมั่นพัฒนาทักษะของตัวเองตลอดเวลา เพื่อรอจังหวะ
ซึ่งคุณโอปอล์ก็อาศัยการถามนางแบบรุ่นพี่บ้าง รวมทั้งฝึกฝนจากประสบการณ์ทำงานจริง
เรียนรู้เทคนิคมุมกล้องจากช่างภาพของแต่ละงาน เก็บเป็นจิกซอว์ เพื่อมาต่อกันจนเป็นเธอในวันนี้
ที่สำคัญคือต้องเป็นตัวของตัวเอง เพราะที่ต่างประเทศ มักจะมองทุกอย่างเป็นศิลปะ 
อย่างในสายตาของเรา คนที่เป็น “กระ” หรือ “ผิวด่าง” อาจจะไม่เรียกว่า “สวยงาม”
แต่ในมุมของการเป็นนางแบบ กลับมองว่า สิ่งเหล่านี้เป็นความงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์
ทำให้กลายเป็นความแตกต่าง ที่มีเสน่ห์ในตัวเอง 
ดังนั้นสำหรับงานนางแบบในต่างประเทศ คนที่มีแครักเตอร์โดดเด่น จึงมีโอกาสที่จะได้งานสูงกว่า
อ่านมาถึงตรงนี้คงมีคนที่เริ่มอยากเป็น “โมเดลอินเตอร์” บ้างแล้ว 
รู้ว่าตัวเองมีความสามารถ แต่ยังกังวลในเรื่องของ “ภาษา”
เรื่องของคุณโอปอล์ก็น่าจะเป็นตัวอย่างได้เป็นอย่างดี 
เพราะเธอเพิ่งมาเริ่มนับหนึ่ง ในช่วงเข้ามหาวิทยาลัยเช่นกัน 
เนื่องจากตอนอยู่ต่างจังหวัด เธอไม่ได้เห็นความสำคัญ ว่าจะต้องเรียนไปทำไม 
พอเข้าสู่มหาวิทยาลัย แล้วมีวิชาที่ต้องเรียนกับครูต่างชาติ เธอจึงฟังแทบไม่ออกเลย 
แต่จะให้ไปหาคอร์สเรียนเสริม คุณโอปอล์ก็ไม่ได้มีเงินมากพอ
สุดท้ายจึงต้องฝึกฝนจากการฟังเพลงหรือดูภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเอาแทน 
นอกจากนั้น เธอยังได้ทดลองหาเพื่อนต่างชาติจากเว็บ InterPals 
ทำให้กล้าสื่อสารภาษาอังกฤษ และยังเป็นเหมือนการเปิดโลกให้กว้างขึ้นอีกด้วย
กลับมาสู่สายอาชีพนางแบบอีกครั้ง ซึ่งสำหรับคนที่สนใจ อาจกังวลว่าอาชีพนี้จะยั่งยืนหรือไม่
ซึ่งเรื่องนี้คุณโอปอล์ ก็ยังยืนยันคำตอบเดิม ว่าตราบใดที่เราเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
เพื่อรอจังหวะและโอกาสเข้ามา เพราะแต่ละแคมเปน ก็มีความต้องการนางแบบที่แครักเตอร์ต่างกัน 
บางครั้งเด็ก บางครั้งแก่ ดังนั้นแม้อายุจะมากขึ้น ก็ไม่ต้องกลัวไม่มีงาน
นอกจากนั้น เราก็ยังสามารถทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วยได้ อย่างคุณโอปอล์เองก็มีเปิดสถาบันสอนเดินแบบ
เพราะคุณโอปอล์มองว่า ชีวิตไม่ได้มีแค่ด้านเดียว เราสามารถทำหลาย ๆ อย่าง และเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันได้
ซึ่งจุดเริ่มต้นก็เกิดหลังจากช่วงที่ภาพโฆษณาน้ำหอมกลายเป็นไวรัล 
ทำให้มีน้อง ๆ ทักมาสอบถามจำนวนมาก จนตอบแทบไม่ไหว
สุดท้ายคุณโอปอล์เลยตัดสินใจ จัดเป็นเวิร์กช็อป ซึ่งก็ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก 
คุณโอปอล์มองเห็นว่าในเมื่อยังมีเด็กอีกหลายคน 
ที่ไม่รู้จักสายอาชีพนางแบบในต่างประเทศ เหมือนกับเธอตอนเด็ก ๆ 
เธอจึงอยากถ่ายทอดสิ่งที่ได้มา ส่งต่อให้กับคนรุ่นถัด ๆ ไป 
ปัจจุบัน ธุรกิจของคุณโอปอล์ ก็ค่อนข้างไปได้ดีเลยทีเดียว
เปิดมาตั้งแต่ปี 2559 มีนักเรียนเฉลี่ยปีละ 500-600 คน 
ไม่นับนักเรียนจากคลาสออนไลน์ ที่เพิ่งทดลองตอนช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด 19
นอกจากนั้นก็ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจไปประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว
ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งจิกซอว์ ที่เธอได้มาจากการไปเป็นกรรมการที่ Lao Fashion Week ทำให้ได้พาร์ตเนอร์ทางธุรกิจกลับมาด้วย 
ลงทุนเกิร์ลได้ถามคุณโอปอล์ว่า ณ จุดนี้ เธอถือว่าประสบความสำเร็จหรือยัง 
เพราะไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ หรือเส้นทางอาชีพนางแบบ ก็ดูลงตัวทุกอย่างแล้ว
คำตอบของเธอคือ รู้สึกว่าสำเร็จ แต่ยังไม่สุด เพราะสุดแล้วจะหมายถึงการหยุดพัฒนา 
แต่คุณโอปอล์ก็ยังอยากพัฒนาตัวเองในสายนางแบบ แล้วก็ขยายธุรกิจไปด้วย 
และโชคดีที่ว่าทั้ง 2 สิ่งนี้มันส่งเสริมกันและกัน
อ่านมาถึงตรงนี้ สำหรับคนที่อยากจะเป็นนางแบบระดับอินเตอร์ 
คุณโอปอล์ก็ได้ฝากเคล็ดลับในการเตรียมพร้อมรอรับโอกาสเอาไว้
ไม่ว่าเราจะมีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศหรือไม่ สิ่งแรกที่มีก็คือ “พอร์ตผลงาน”
นอกจากนั้นยังต้องใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ ลองติดแฮชแท็กเพื่อให้คนค้นหาเราเจอได้
พยายามเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในโอกาส เข้าหาช่างภาพ และเก็บเป็นจิกซอว์คอนเน็กชันไปเรื่อย ๆ
นอกจากนั้นลองส่งผลงานไปหลาย ๆ เอเจนซี เพราะแต่ละแห่งก็มองหาคนต่างกัน
เปรียบกับการหว่านแหจับปลา แทนที่จะใช้เบ็ดตกปลาอันเดียว 
เพราะโอกาสที่จะได้ปลาย่อมมากขึ้นไปด้วย
ส่วนในเรื่องการแข่งขัน ที่ดูเหมือนจะสูงกว่าวงการนางแบบในประเทศ 
คุณโอปอล์กลับมีความเห็นว่า การที่เราเป็นคนเอเชีย อาจจะเพิ่มโอกาสให้เราได้งานด้วยซ้ำ
เพราะถ้ามองในไทย งานโฆษณาส่วนใหญ่ก็จะเน้นไปที่นางแบบต่างชาติ 
ดังนั้นถ้าเราไปอยู่ท่ามกลางชาติตะวันตก คนเอเชียก็จะมีโอกาสได้งานมากขึ้นเช่นกัน
ประกอบกับปัจจุบันยังมีเทรนด์ “ความสวย” ที่เปิดกว้างมากขึ้น 
ไม่ว่าจะเป็น Androgynous หรือนางแบบ/นายแบบที่ไม่ระบุเพศ 
ไปจนถึงรูปร่างของนางแบบ ก็ไม่จำเป็นต้องผอมเสมอไป เหมือนเมื่อก่อน 
ด้วยมุมมองที่ว่า ทุกคนสามารถ “สวยในแบบของตัวเอง” 
ดังนั้นคุณโอปอล์จึงฝากถึงคนที่ได้อ่านบทความนี้ ให้ “มั่นใจในตัวเอง” เข้าไว้ และต้อง “เข้มแข็ง” 
เพราะอย่างคุณโอปอล์ ก็เคยเป็นเด็กต่างจังหวัดที่โดนบูลลี เพราะไม่ได้สวยเหมือนพิมพ์นิยม
ซึ่งหากเธอไปปรับตามคำพูดของคนอื่น จนเสียตัวตนไป ก็อาจจะไม่ได้งานน้ำหอม และไม่มีโอปอล์ ในวันนี้ 
ดังนั้นจุดด้อยในวันวาน ก็อาจจะเป็นจุดขายในวันหน้าก็ได้
ให้คิดว่าสิ่งที่เรามี คือ “จุดเด่น” และทำจุดเด่นนั้นให้เป็น “จุดขาย”
เพราะสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร ย่อมเป็นสินค้าที่มีค่า มีราคา..
Reference:
-สัมภาษณ์ตรงกับคุณพิไลวรรณ พิมพ์ภูลาด
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.