กว่าจะมาเป็น Jergens แบรนด์โลชันอายุ 139 ปี /โดย ลงทุนเกิร์ล

หากพูดถึงปัญหาผิวที่สาว ๆ หลายคนต้องเจอ
คงจะหนีไม่พ้นปัญหาผิวแห้ง ผิวขาดความชุ่มชื้น
ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น อายุ พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม
ก็ล้วนส่งผลให้เราต้องมองหาทางออกสำหรับผิวที่ดูสุขภาพดี

และหนึ่งในแบรนด์โลชันที่ใครหลายคนพูดถึงก็คงจะมี Jergens (เจอร์เกนส์)
ด้วยคุณภาพและราคาที่เข้าถึงง่าย จึงทำให้เป็นที่ถูกใจใครหลายคน

แต่รู้หรือไม่ว่า จริง ๆ แล้ว Jergens นั้นไม่ได้เริ่มต้นมาจากการผลิตโลชัน
แถมแบรนด์ยังก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1882 แปลว่ารวม ๆ แล้ว มีอายุถึง 139 ปีเลยทีเดียว

แล้ว Jergens มีจุดเริ่มต้นอย่างไร และกลายมาเป็นแบรนด์โลชันได้อย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง

แรกเริ่มเดิมที Jergens ไม่ได้เป็นที่รู้จักในด้านของโลชัน
แต่มีชื่อเสียงมาจากการทำสบู่

ซึ่งเรื่องนี้เราต้องย้อนกลับไปในช่วงประมาณปี 1880 
คุณ Andrew N. Jergens ได้เดินทางมาจากเดนมาร์ก ก่อนจะมาตั้งหลักอาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
ทำให้เขาได้พบกับเพื่อนบ้านชื่อ คุณ Charles Geilfus ซึ่งมีอาชีพทำสบู่มาก่อน

แต่สำหรับในยุคสมัยนั้น การใช้สบู่อาบน้ำยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก
จนมีการยืนยันจากแพทย์ว่า แบคทีเรียเป็นตัวการของการเกิดโรคต่าง ๆ 
และด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้ผู้คนเริ่มหันมาอาบน้ำ และถูสบู่กันมากขึ้น

ประกอบกับเป็นช่วงเวลา ที่การผลิตสบู่รูปแบบใหม่ ได้ถือกำเนิดขึ้น

จากเดิมที่อาศัยการต้มน้ำ เข้ากับไขมันแพะและขี้เถ้า
ที่ถึงจะฟังดูแปลก ๆ แต่ในขี้เถ้านั้น จะมีสารที่ชื่อว่า โพแทสเซียมคาร์บอเนต
ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยทำให้ร่างกายสะอาดขึ้นได้

โดยในปี 1879 ได้เกิดเหตุบังเอิญ ที่พนักงานในโรงงานผลิตสบู่ลืมปิดเครื่องจักรตามเวลา
แต่ผลที่ได้กลับเป็น สบู่ที่มีน้ำหนักเบา และสามารถลอยน้ำได้
เมื่อรวมเข้ากับความรุ่งเรืองของการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในยุคนั้น
เรื่องราวของแบรนด์สบู่ Jergens จึงได้เริ่มขึ้น โดยอาศัยโอกาสเหล่านี้

ในปี 1882 คุณ Jergens ก็ได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นในชื่อ Jergens Soap 
ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น Andrew Jergens และมีสินค้าชิ้นแรกที่เปิดตัวคือ “สบู่น้ำมันมะพร้าว”

จนกระทั่งในปี 1901 บริษัทก็เปลี่ยนตัวเองจากที่ทำธุรกิจในอุตสาหกรรมสบู่
ก็กลายมาเป็นบริษัทเกี่ยวกับสินค้าความงามและสินค้าอุปโภค
ซึ่งบริษัท Andrew Jergens ก็ใช้วิธีการ เข้าซื้อบริษัทอื่น ๆ 
เพื่อเพิ่มศักยภาพของตนเอง และปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจสินค้าความงาม

เช่น เข้าซื้อบริษัท Woodbury Soap ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอาง 
จำพวกครีมทาหน้า แป้งทาหน้า และน้ำหอมผู้ชาย
และบริษัท Robert Eastman ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับโลชันและน้ำหอม

จากการเข้าซื้อบริษัทเหล่านี้ ก็ทำให้บริษัท Andrew Jergens เติบโตอย่างรวดเร็ว
และทำให้บริษัทสามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ สู่ตลาดเป็นจำนวนมาก
จากการใช้สูตร และส่วนผสมที่ได้จากบริษัทที่ถูกเข้าซื้อมา

ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “Jergens Benzoin and Almond Lotion Compound” หรือ “Jergens Lotion” 
ที่เป็นสินค้าขายดีของบริษัทตั้งแต่ในสมัยนั้น จนมาถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม หลังจากดูแลบริษัทมาเกือบ 50 ปี คุณ Andrew N. Jergens ก็เสียชีวิต
ทำให้ลูกชายของเขา คุณ Andrew N. Jergens Junior เข้ามารับช่วงต่อ
ซึ่งตัวลูกชายก็เป็นอีกหนึ่งในบุคคล ที่เข้ามาพัฒนาบริษัทให้เติบโตได้อย่างดี

ต่อมาคุณ Andrew N. Jergens Junior ก็เสียชีวิตด้วยวัย 86 ปี
ทำให้บริษัท American Brands เข้าซื้อกิจการต่อ ในปี 1970 

และในปี 1988 บริษัท Andrew Jergens ก็เปลี่ยนเจ้าของอีกครั้ง
โดยมาอยู่ในมือของ Kao บริษัทผลิตภัณฑ์อุปโภคจากประเทศญี่ปุ่น 
เจ้าของแบรนด์อย่าง Biore หรือ Kanebo 

ซึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Jergens จึงกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ ที่อยู่ภายใต้เครือของบริษัท Kao 

โดยในปี 2005 ก็ได้ออกสินค้าที่ถูกคิดค้นขึ้นใหม่ เป็นโลชัน Jergens Natural Glow 
ที่กลายเป็นสินค้าขายดี สามารถขายหมดภายในสัปดาห์แรก หลังจากที่มีการโฆษณาออกไป
รวมถึงยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย ตามที่เราได้เห็นในท้องตลาดปัจจุบัน

อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าถามว่า Jergens จริง ๆ แล้วเป็นแบรนด์สัญชาติอะไร ก็คงจะตอบได้ยาก
เพราะก่อตั้งโดยชาวเดนมาร์ก แต่สร้างธุรกิจที่สหรัฐอเมริกา 
สุดท้ายเจ้าของปัจจุบันกลับเป็นบริษัทญี่ปุ่น

แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นประเทศอะไร ก็คงจะไม่สำคัญเท่าคุณภาพของสินค้า 
ที่ทำให้เห็นว่า แม้จะผ่านไปเกือบ 140 ปี แต่ถ้าสินค้าเราดีและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 
ไม่ว่าจะอยู่ในมือของชาติอะไร ก็ยังสามารถครองใจลูกค้าได้ไม่เสื่อมคลาย..

References:
-https://www.zippia.com/jergens-careers-1166268/history/
-https://onbeyondholcombe.wordpress.com/…/andrew-jergens-c…/….
-https://www.reference.com/…/history-jergens-lotion-392e2ff2…
-http://pirun.ku.ac.th/~b5510900911/history.html#:~
-https://en.wikipedia.org/wiki/Woodbury_Soap_Company
-https://www.kao.com/global/en/brands/