การต่อยอดธุรกิจของ Marshall จากเครื่องขยายเสียงชาวร็อก สู่ลำโพงบลูทูธตกแต่งบ้าน
Business

การต่อยอดธุรกิจของ Marshall จากเครื่องขยายเสียงชาวร็อก สู่ลำโพงบลูทูธตกแต่งบ้าน

26 ส.ค. 2021
การต่อยอดธุรกิจของ Marshall จากเครื่องขยายเสียงชาวร็อก สู่ลำโพงบลูทูธตกแต่งบ้าน /โดย ลงทุนเกิร์ล
หากพูดถึงเครื่องเสียงที่มีดีไซน์คลาสสิก Marshall ก็คงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่น่าจะเคยผ่านตาใครหลายคนอยู่บ่อยครั้งตามคาเฟหรือร้านอาหาร สามารถเป็นของตกแต่งที่วางบริเวณไหนก็ดูสวยงาม
และสำหรับใครที่ชอบดูคอนเสิร์ตของวงดนตรีต่าง ๆ เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก Marshall เช่นกัน
เพราะไม่ว่าจะเป็น Queen วงร็อกระดับตํานาน, Jimi Hendrix ราชากีตาร์แห่งโลกดนตรี รวมถึงวง Day6 วงร็อกชื่อดังในปัจจุบันจากเกาหลีใต้ก็ยังคงเลือกใช้ Marshall ในการแสดงเช่นเดียวกัน
แล้วเส้นทางของ Marshall เป็นอย่างไร ?
ทำไมลำโพงที่แทบไม่เคยเปลี่ยนแปลงหน้าตาแบรนด์นี้ ถึงเป็นไอเทมที่ขายดีตลอดกาล​ ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
Marshall (มาร์แชลล์) คือ แบรนด์เครื่องเสียงชื่อดังสัญชาติอังกฤษ
ที่คร่ำหวอดในวงการเครื่องเสียงมายาวนานกว่า 59 ปี
ซึ่งจุดเริ่มต้นก็มาจากคุณ Jim Marshall ชาวลอนดอนที่ป่วยด้วยวัณโรคกระดูกตั้งแต่เกิดมาไม่นาน นั่นหมายความว่าเขาต้องใช้เวลาวัยเด็กส่วนใหญ่ อยู่ในโรงพยาบาล
จนกระทั่งอายุ 13 ปี คุณ Jim Marshall ได้ไปเรียนเต้นแท็ป หรือการเต้นโดยใช้รองเท้าเคาะพื้นเป็นจังหวะ เพื่อเสริมสร้างกระดูกที่ขา ตามคำแนะนำของพ่อ
เรื่องนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาหลงใหลในเสียงดนตรีและค้นพบพรสวรรค์ด้านดนตรี
ต่อมาคุณ Jim Marshall ได้ซื้อกลองชุดตัวแรกมาเรียนรู้ และสร้างอาชีพด้วยการเป็นนักดนตรีและสอนตีกลอง โดยเขาสอนนักเรียนกว่า 65 คนต่อสัปดาห์ ซึ่งลูกศิษย์ของเขาก็ได้กลายเป็นมือกลองวงดนตรีชื่อดังมากมาย
และจากการทำงานอย่างหนักเป็นเวลา 20 ปี ก็ทำให้เขามีเงินเก็บมากพอที่จะนำไปต่อยอดทำธุรกิจ
โดยในปี 1960 คุณ Jim Marshall ได้เปิดร้านขายอุปกรณ์ดนตรี ร่วมกับภรรยาและลูกชายของเขา ในชื่อ “Jim Marshall and Son” บนถนนอักซ์บริดจ์ ในลอนดอน
ซึ่งลูกค้าส่วนมากจะเป็นลูกศิษย์และนักดนตรี Rock & Roll ชื่อดังในสมัยนั้นที่ได้แวะเวียนมาที่ร้าน เช่น Pete Townshend, Ritchie Blackmore, John Entwistle และ Big Jim Sullivan ส่งผลให้ธุรกิจมีชื่อเสียงขึ้นมาภายในเวลาไม่นาน
จนกระทั่งวันหนึ่ง นักกีตาร์ลูกค้าประจำของร้านได้ขอให้คุณ Jim Marshall ผลิตแอมพลิฟายเออร์ หรือเครื่องขยายเสียงกีตาร์ คุณภาพดีออกสู่ท้องตลาด เพราะในเวลานั้นไม่มีแอมพลิฟายเออร์ที่ให้ระดับเสียงดัง และมีโทนเสียงดุดันอย่างที่พวกเขาต้องการ
ดังนั้นคุณ Jim Marshall จึงมองเห็นช่องทางทำธุรกิจจากความต้องการของตลาด ที่ยังไม่มีแบรนด์ไหนโดดเด่นเรื่องแอมพลิฟายเออร์อย่างแท้จริง
เขาจึงเริ่มผลิตแอมพลิฟายเออร์ตัวแรกที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อรุ่น “JTM45” ซึ่งย่อมาจาก
“Jim & Terry Marshall 45” ชื่อของเขากับลูกชาย และเลข 45 ก็คือจำนวนวัตต์นั่นเอง
ซึ่ง JTM45 ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากมายจากโทนเสียงแตกที่เป็นเอกลักษณ์ของ Marshall
จนถูกบอกเล่าปากต่อปากว่าเป็น แอมพลิฟายเออร์ที่เสียงดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในยุคนั้น
มากไปกว่านั้นยังมีนักดนตรีชื่อดังหลายคนนำ JTM45 ขึ้นแสดงคอนเสิร์ตเป็นฉากหลังเวที
ซึ่งเปรียบเหมือนพื้นที่โฆษณา Marshall ไปในตัว จนทำให้สินค้าได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง
และกลายเป็นแอมพลิฟายเออร์ที่มีภาพลักษณ์ผูกติดกับ Rock & Roll จนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นคุณ Jim Marshall จึงได้ก่อตั้งบริษัทเพื่อทำการตลาดที่ชื่อว่า Marshall Amplification ขึ้นในปี 1962 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของแบรนด์ Marshall อย่างเป็นทางการ
ด้วยยอดขายที่ถล่มทลายของ JTM45 ส่งผลให้ Marshall สามารถเปิดร้านที่สองได้ในปี 1963 และเปิดโรงงานแห่งแรกในปี 1964 อีกทั้งขยายสินค้าไปอีกหลายรุ่นในเวลาต่อมา
หลังจากความสำเร็จจากทศวรรษ 1960 แอมพลิฟายเออร์ของแบรนด์ก็สร้างชื่อเสียงให้ Marshall สามารถครองตลาดเครื่องเสียงมาอย่างยาวนาน
จนกระทั่งปี 2010 เมื่อยุคสมัยและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป แบรนด์จึงได้เข้าสู่ตลาดหูฟัง
โดยเปิดตัวหูฟังรุ่น Major (On-ear Headphone) และ Minor (Earbud) ออกมาเป็นครั้งแรก เพื่อจับกลุ่มผู้บริโภคที่กว้างขึ้น
เปิดโอกาสให้คนทั่วไป นอกเหนือจากนักดนตรีได้สัมผัสเอกลักษณ์เสียงในแบบ Marshall ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี
ต่อมาในปี 2012 เพื่อตอบโจทย์ในเรื่องไลฟ์สไตล์การฟังเพลงได้มากขึ้น Marshall จึงได้เปิดตัวลำโพงบลูทูธรุ่นแรกของแบรนด์ที่มีชื่อรุ่นว่า Stanmore เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของแบรนด์
รวมถึงผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว นั่นก็คือ Marshall Emberton ลำโพงบลูทูธพกพา ขนาดเล็กที่สุดของแบรนด์ ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาจนกลายเป็นของหายากในเวลาอันรวดเร็ว
แล้วอะไรที่ทำให้เครื่องเสียงแบรนด์ Marshall ยังเป็นที่นิยมถึงปัจจุบันนี้ ?
อันดับแรกคือ คุณภาพเสียง
ด้วยความที่แบรนด์เกิดมาจากคุณ Jim Marshall ที่มีพื้นฐานเป็นนักดนตรี และแอมพลิฟายเออร์ได้สร้างสรรค์ขึ้นสำหรับศิลปินในยุคนั้นเพื่อการแสดงสดโดยเฉพาะ ดังนั้นคุณสมบัติของ Marshall จึงมีความโดดเด่นในเรื่องความดังของเสียงเครื่องดนตรี กีตาร์ เบส และกลองที่เคลียร์ชัด ทำให้นักดนตรียังคงเลือกใช้ Marshall เรื่อยมา
รวมถึงเครื่องเสียงทั่วไปของ Marshall ยังคงใส่ใจในเรื่องคุณภาพเสียงและการใช้งานที่เรียบง่ายก็ทำให้หลาย ๆ คนที่มีความรักในเสียงดนตรีเลือกใช้อุปกรณ์ Marshall
สองคือ ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์
อีกเหตุผลที่ทำให้หลายคนตัดสินใจลงทุนกับเครื่องเสียงของ Marshall คือ ดีไซน์ที่สะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรก ด้วยรูปลักษณ์ที่ทั้งคลาสสิกและหรูหรา บวกกับโลโกแบรนด์ที่ผลิตมาจากโลหะปั๊มด้วยสีทอง คงเอกลักษณ์ความเป็น Marshall ไว้
สามคือ ตรงกับไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งาน
Marshall ตรงกับรสนิยมของผู้ที่ชื่นชอบงานดีไซน์และรักในเสียงดนตรี รองรับการใช้งานทุกรูปแบบ
เช่น ลำโพงรุ่น Stanmore II ที่เป็นที่นิยมนำไปตกแต่งบ้าน รวมถึงคาเฟต่าง ๆ หรือลำโพงพกพาทั้งรุ่นเล็กอย่าง Stockwell II รุ่นกลาง Kilburn II และรุ่นใหญ่อย่าง Tufton เป็นที่นิยมมากในกลุ่มผู้ที่ชอบการเดินทางท่องเที่ยวเอาต์ดอร์
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ก็คงจะทราบถึงคำตอบ
ว่าทำไมแบรนด์ Marshall ถึงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันนี้
เพราะนอกจากซื้อคุณภาพเสียงแล้ว ยังเหมือนซื้อรสนิยมเอาไว้อย่างปฏิเสธไม่ได้อีกด้วย..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.