BAGGU ถุงช็อปปิงรักษ์โลก ทำอย่างไรให้ขายมาได้กว่า 14 ปี
Business

BAGGU ถุงช็อปปิงรักษ์โลก ทำอย่างไรให้ขายมาได้กว่า 14 ปี

16 ก.ย. 2021
BAGGU ถุงช็อปปิงรักษ์โลก ทำอย่างไรให้ขายมาได้กว่า 14 ปี /โดย ลงทุนเกิร์ล
ปีนี้นับว่าเป็นปีแรกที่ประเทศไทยออกกฎให้ ห้างสรรพสินค้าและร้านค้างดแจกถุงพลาสติก
ทำให้พวกเราหลาย ๆ คนต้องปรับตัว หันมาพกกระเป๋าช็อปปิง และถุงผ้ากันมากขึ้น
ทำให้ตอนนี้กระเป๋าช็อปปิง และถุงผ้ากลายเป็นหนึ่งในไอเทมที่คนหันมาซื้อพกติดตัวกัน
และสำหรับสาว ๆ ที่ชื่นชอบแฟชั่น การจะหากระเป๋าที่มีลวดลายเข้ากับตัวเองนั้น อาจไม่ใช่เรื่องง่าย
ซึ่งปัญหานี้ก็ไม่ใช่กับแค่คนไทยเท่านั้น แต่ในต่างประเทศเองก็เช่นกัน
และจากปัญหานี้เอง ก็ก่อให้เกิดเป็นแบรนด์ที่มีชื่อว่า BAGGU แบรนด์ถุงผ้า
สำหรับพกไปช็อปปิงสัญชาติอเมริกัน ที่มีมาตั้งแต่ปี 2007
ที่น่าแปลกคือ ในช่วงปีนั้น พวกเราหลายคนยังไม่ได้เริ่มหันมาสนใจ
การใช้ถุงช็อปปิงลักษณะนี้เลยด้วยซ้ำ หรือก็เป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ที่สนใจเรื่องนี้
แล้วแบรนด์ BAGGU มองเห็นอะไรจึงหันมาทำธุรกิจนี้ ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
BAGGU มีจุดเริ่มต้นมาจากคุณ Emily Sugihara และคุณแม่
โดยหลังจากที่คุณ Emily เรียนจบจากมหาวิทยาลัย เธอก็ได้เริ่มทำงานในฐานะนักออกแบบด้านแฟชั่น
ซึ่งเป็นงานที่เธอชื่นชอบ เนื่องจากเธอจะได้ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ของเธอได้อย่างเต็มที่
แต่เมื่อเริ่มงานไปได้สักพัก เธอกลับพบว่างานดีไซน์ต่าง ๆ นั้นต้องผ่านลูกค้ามากมาย จนทำให้บางครั้งเธอก็ไม่ได้ปลดปล่อยไอเดียได้เต็มที่อย่างที่เธอเคยคิดไว้
ประจวบเหมาะกับในตอนนั้น เธอและคุณแม่ก็กำลังมองหากระเป๋าสำหรับช็อปปิง
ที่มีดีไซน์เก๋ ๆ และแข็งแรงสักใบมาใช้ แต่ก็ไม่เจอแบบที่ถูกใจสักที
เนื่องจากในสมัยนั้น ยังเป็นช่วงที่ผู้คนยังใช้ถุงพลาสติกกันเป็นส่วนใหญ่
ทำให้ในตอนนั้นยังไม่ค่อยมีแบรนด์กระเป๋าช็อปปิงให้เลือกมากนัก
คุณ Emily จึงคิดว่า มันอาจจะเป็นโอกาสดีที่จะได้ออกมาทำแบรนด์ของตัวเอง
ซึ่งไม่เพียงแค่สนองความต้องการในด้านการใช้งาน แต่รวมถึงด้านการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ด้วย
ทำให้เธอตัดสินใจลาออกจากบริษัทที่ทำอยู่และออกมาทำแบรนด์ BAGGU ที่เปิดตัวในปี 2007
แล้วกระเป๋าช็อปปิงของ BAGGU แตกต่างจากแบรนด์อื่นอย่างไร ?
กระเป๋าของ BAGGU ใช้เทคนิคการถักแบบ Ripstop แปลตรงตัวว่า หยุดการฉีก
ซึ่งเป็นวิธีการถักเส้นใยแบบที่นิยมใช้ในการเย็บชุดทหาร หรือเต็นท์สำหรับแคมปิง
ส่วนเส้นใยที่ BAGGU ใช้ก็เป็นเส้นใยผ้าไนลอนจากธรรมชาติ ทำให้ได้กระเป๋าช็อปปิงที่แข็งแรง
น้ำหนักเบา รวมถึงเป็นวัสดุที่สามารถนำมารีไซเคิลได้อีกด้วย
ต่างจากกระเป๋าช็อปปิงแบรนด์อื่น ๆ ในยุคนั้นที่มีลายเรียบ ๆ และใช้เส้นใยสังเคราะห์ในการผลิต
ใช้การตัดเย็บแบบธรรมดา ทำให้เมื่อใส่ของที่มีน้ำหนักมาก ๆ ถุงก็มีโอกาสที่จะขาดได้
ทำให้เมื่อกระเป๋าของ BAGGU เปิดตัว ก็เริ่มกลายเป็นที่นิยมและได้รับความสนใจแทบจะทันที
ซึ่งก็ทำให้เราสรุปได้ว่า การที่ BAGGU ประสบความสำเร็จ
ตั้งแต่ในยุคที่คนส่วนใหญ่ ยังใช้ถุงพลาสติกอยู่ คือ
การเป็นแบรนด์แรก ๆ ในยุคนั้น ที่ให้ความสำคัญในเรื่องความแข็งแรงและรักษ์โลก
เพราะหากย้อนกลับไปในช่วงยุคปี 2000 ต้น ๆ นั้นยังเป็นช่วงที่หลาย ๆ ประเทศ
ยังคงนิยมใช้ถุงพลาสติกกันอยู่ ทำให้กลุ่มคนที่ตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมยังมีตัวเลือกที่น้อย
และเมื่อ BAGGU เกิดขึ้น ซึ่งไม่ได้เพียงแค่เข้ามาช่วยตอบโจทย์ในเรื่องการใช้งาน
แต่ยังรวมถึงใส่ใจไปถึงขั้นตอนการผลิตที่ช่วยลดการเกิดขยะ และการเลือกใช้วัสดุที่รีไซเคิลได้
ทำให้สามารถตอบโจทย์คนที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมได้อย่างครบวงจร
เรื่องต่อมาก็คือดีไซน์ที่โดดเด่น น่าพกพา
เชื่อว่าสาว ๆ หรือแม้แต่หนุ่ม ๆ หลายคนก็คงจะเคยได้รับถุงผ้าฟรีมาเป็นของแถมอยู่บ้าง
แต่ส่วนใหญ่ก็วางทิ้งไว้ที่บ้านและไม่ได้หยิบมาใช้ ซึ่งเหตุผลของคนส่วนใหญ่ก็คงเป็นเรื่องดีไซน์
เพราะเมื่อดีไซน์ไม่สวย และไม่บ่งบอกความเป็นเรา ก็คงทำให้เราไม่อยากถือสักเท่าไร
BAGGU จึงสามารถเข้ามาแก้ปัญหาตรงส่วนนี้ได้อย่างดี จากดีไซน์ที่มีให้เลือกมากมาย
รวมถึงการไปเลือกคอลลาบอเรชันกับศิลปินหรือตัวละครจากการ์ตูนดัง ๆ เช่น ซิมป์สันส์
และอีกส่วนหนึ่งที่เป็นที่พูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์เมื่อพูดถึงข้อดีของ BAGGU
คือ ขนาดของกระเป๋าที่มีให้เลือกหลายขนาด และถึงจะเป็นกระเป๋าขนาดไม่ใหญ่
แต่ด้วยความทนทานของ BAGGU ก็ทำให้สามารถจุของได้เยอะ โดยที่ไม่ต้องกลัวขาดเลย
ซึ่งในปัจจุบัน BAGGU ก็ไม่ได้หยุดแค่การผลิตกระเป๋าช็อปปิงเท่านั้น
แต่ยังมีการผลิตสินค้าแฟชั่นอื่น ๆ เช่น หมวก ยางรัดผม หน้ากากอนามัย และผ้าห่อกล่องต่าง ๆ
ที่สามารถนำมาใช้ให้เข้าชุดกันได้อีกด้วย
และการต่อยอดจากสินค้าเดิมของ BAGGU ก็ช่วยให้แบรนด์สามารถขยายกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น
จนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้ BAGGU สามารถดำเนินการขายมาได้กว่า 14 ปี
ปัจจุบัน BAGGU ใช้วิธีการขายสินค้าแบบ D2C หรือการขายให้กับลูกค้าผ่านทางเว็บไซต์ของตัวเอง
และยังมีหน้าร้านอีก 2 แห่งในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ลูกค้าเข้าไปรับชมสินค้าได้
รวมถึงจากที่เป็นแบรนด์ธุรกิจเล็ก ๆ ที่ช่วยกันทำกับคุณแม่ในโรงรถที่บ้าน
ก็ขยับขยายจนมีพนักงานมาช่วยงาน และย้ายมาทำงานในโรงงานแทน
จากความสำเร็จของ BAGGU นั้นก็คงทำให้เรารู้ว่าการที่ธุรกิจจะสำเร็จได้
ไม่ใช่แค่การทำสินค้าให้ดีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักมองตลาดให้ออกว่าลูกค้าต้องการอะไร
และที่สำคัญคือ ไม่ยึดติดกับสินค้าเพียงประเภทเดียวที่เรามองว่าขายดีแล้ว
เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นสินค้าคนละประเภทกัน แต่หากเรามองเห็นโอกาส
เหมือนที่ BAGGU ทำให้สินค้าแต่ละชิ้นสามารถเข้าเซตกันได้ จากสินค้าเดิมที่ทำดีอยู่แล้ว
ก็สามารถทำให้แบรนด์ยังคงสามารถดำเนินงานอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.