
Food
ลุยไฟ ร้านเนื้อย่าง ลุยตลาดดิลิเวอรี สู่ยอดขายเดือนละ 4 ล้านบาท
18 ต.ค. 2021
ลุยไฟ ร้านเนื้อย่าง ลุยตลาดดิลิเวอรี สู่ยอดขายเดือนละ 4 ล้านบาท /โดย ลงทุนเกิร์ล
“ลุยไฟ” ร้านเนื้อย่างขวัญใจคนรักเนื้อ ที่เปิดมาได้เพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น
แถมยังเปิดร้านมาได้พอดิบพอดีกับในช่วงวิกฤติโรคระบาด
แถมยังเปิดร้านมาได้พอดิบพอดีกับในช่วงวิกฤติโรคระบาด
แต่ประเด็นที่น่าสนใจนั้นอยู่ที่ ร้านลุยไฟ ปัจจุบันสามารถสร้างยอดขายได้เกือบ 4 ล้านบาทต่อเดือน
แล้วร้านลุยไฟมีเคล็ดลับในการบริหารธุรกิจอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
หากใครเป็นคนชอบทานเนื้ออาจจะเคยคุ้นหู หรือเห็นร้านลุยไฟ ผ่านบนโซเชียลมีเดียกันมาบ้าง เพราะเป็นร้านเนื้อย่างดิลิเวอรีที่ครบเครื่อง และมีการตลาดบนโลกออนไลน์ที่แข็งแกร่ง
โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังร้านลุยไฟแห่งนี้ ก็คือคุณจักรพันธ์ ตั้งกุญแจทอง หรือ คุณบอส อดีตเจ้าของบริษัทโฆษณา ที่ผันตัวมาจับธุรกิจร้านอาหาร เพราะเล็งเห็นโอกาสในการเติบโต
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมการตลาดออนไลน์ของลุยไฟถึงดีไม่แพ้คุณภาพของอาหารเลย
ในช่วงปลายปี 2019 ก่อนหน้าที่คุณบอสจะมาเปิดร้านลุยไฟ เขาเคยทำธุรกิจร้านอาหารไทยที่ชื่อว่า “ทศกัณฐ์” ซึ่งเป็นร้านข้าวแกงไทย สไตล์โมเดิร์น ที่มีพระเอกของจานเป็นเนื้อเต็ม ๆ คำ และตั้งอยู่แถวถนนข้าวสาร เพื่อจับกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ
โดยเหตุผลที่ทำให้คุณบอสเลือกที่จะมาทำธุรกิจร้านอาหารไทย ก็เพราะคุณบอสมองว่า อาหารไทยมีโปรไฟล์ที่ชัดเจนมากบนตลาดโลก และนี่ก็คือ “แพสชัน” ของคุณบอสที่ต้องการผลักดันอาหารไทยสู่ตลาดโลก
ซึ่งร้านทศกัณฐ์ก็ถือว่ามาได้ถูกทาง เพราะทั้งโลเคชันที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว และสไตล์อาหารที่ถูกปากชาวต่างชาติ ทำให้หลังจากเปิดร้านได้เพียงแค่ 3 เดือนแรกก็มีรายได้ที่เติบโต
แต่การเดินทางร้านทศกัณฐ์ก็ต้องสะดุดลง เมื่อเกิดวิกฤติโรคระบาด ทำให้ชาวต่างชาติหายไปในพริบตา
ส่วนโลเคชันที่เคยได้เปรียบอย่าง บริเวณถนนข้าวสาร ก็ไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ชั้นเลิศสำหรับการมองหาลูกค้าชาวไทย
พอร้านทศกัณฐ์ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้เต็ม ๆ ทำให้คุณบอสจึงต้องรีบปรับตัว และหันมาลุยตลาดดิลิเวอรีเป็นหลักแทน
แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้จบเท่านั้น เพราะราคาและรสชาติอาหาร ก็ยังไม่ตอบโจทย์ลูกค้าชาวไทย เนื่องจากเมนูส่วนใหญ่ถูกดีไซน์มาสำหรับลูกค้าชาวต่างชาติมากกว่า
ดังนั้นเมื่อรู้ว่าปัญหาอยู่ที่จุดไหน คุณบอสจึงต้องปรับกลยุทธ์ใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ตรงใจลูกค้าชาวไทยมากขึ้น
และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของร้าน “ลุยไฟ” ที่ยังคงมี “เนื้อ” เป็นพระเอกของร้านเช่นเดียวกับร้านทศกัณฐ์
แต่จุดที่แตกต่างก็คือ การพัฒนาเมนูให้กลายเป็น “เซตเนื้อย่าง พร้อมทาน” แบบดิลิเวอรีในราคาหลักร้อย ที่มีระดับความสุกให้ลูกค้าเลือกได้ตามต้องการ และยังได้เพิ่มเทคนิค “ทอร์ชเบิร์น” หรือ การพ่นไฟ เข้าไปเพื่อให้เนื้อหอมกลิ่นควัน เป็นเอกลักษณ์ของร้าน
ซึ่งปัจจุบันร้านลุยไฟที่เปิดมาได้ประมาณเพียง 1 ปี แต่กลับสามารถขยายจุดส่งสินค้ามากถึง 7 จุดทั่วกรุงเทพฯ พร้อมทั้งส่งสินค้าไม่ต่ำกว่า 12,000-15,000 กล่อง และทำรายได้เดือนละประมาณ 3.5-4 ล้านบาท เลยทีเดียว
เราลองมาดูกันว่า อะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้ลุยไฟเดินทางมาสู่ความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
อันดับแรก ความหลากหลาย
ร้านลุยไฟตั้งกลุ่มลูกค้าไว้ค่อนข้างกว้าง ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว, พนักงานออฟฟิศ หรือกลุ่มเพื่อน ดังนั้นการสร้างความ “หลากหลาย” จึงเป็นสิ่งสำคัญในการบริการลูกค้า
ทางร้านจึงมีเมนูเนื้อให้เลือกหลากหลาย เช่น ท็อปราวน์ ดรายเอจ, เนื้อวากิว, สันคอหมู และไก่ รวมทั้งเมนูเสริมอย่างส้มตำ และชุดน้ำพริก
ทางร้านจึงมีเมนูเนื้อให้เลือกหลากหลาย เช่น ท็อปราวน์ ดรายเอจ, เนื้อวากิว, สันคอหมู และไก่ รวมทั้งเมนูเสริมอย่างส้มตำ และชุดน้ำพริก
และยังได้เพิ่มไลน์สินค้าสำหรับคนรักสุขภาพ ในชื่อเมนู “ลีนไฟ” และ “คีโต” โดยจะคำนวณปริมาณเนื้อให้เพียงพอสำหรับคนที่ต้องการโปรตีนสูง และไม่ทานคาร์โบไฮเดรตเยอะ
นอกจากตัวเนื้อที่เป็นพระเอกของร้านแล้ว ร้านลุยไฟยังพัฒนา “ดริป” เข้ามาเสริมมิติของรสชาติเนื้อ
ซึ่งมีประมาณ 19 รสชาติ เช่น น้ำจิ้มแจ่ว, แจ่วบอง, วาซาบิดอง, ซอสยากินิกุ, เกลือทรัฟเฟิล, เกลือหมาล่า และเกลือใบกะเพรา ที่ทานคู่กับเนื้อได้อย่างลงตัว
ซึ่งมีประมาณ 19 รสชาติ เช่น น้ำจิ้มแจ่ว, แจ่วบอง, วาซาบิดอง, ซอสยากินิกุ, เกลือทรัฟเฟิล, เกลือหมาล่า และเกลือใบกะเพรา ที่ทานคู่กับเนื้อได้อย่างลงตัว
ต่อมา ปัจจัยที่มาควบคู่กัน ก็คือ การตั้งราคาที่เหมาะสม
หากเรามองเผิน ๆ ทั้งหน้าตาของอาหาร, แพ็กเกจ และรสชาติ ก็อาจจะคิดว่าอาหารจานนี้ราคาสูง แต่จริง ๆ แล้วกลับถูกเสิร์ฟในราคาหลักร้อยเท่านั้น
หากเรามองเผิน ๆ ทั้งหน้าตาของอาหาร, แพ็กเกจ และรสชาติ ก็อาจจะคิดว่าอาหารจานนี้ราคาสูง แต่จริง ๆ แล้วกลับถูกเสิร์ฟในราคาหลักร้อยเท่านั้น
เนื่องจากทางร้านต้องการคำนึงถึง “ความคุ้มค่า” ของลูกค้าเป็นหลัก จึงเลือกคัดสรรเนื้อคุณภาพดี แต่ก็ยังต้องเป็นราคาที่จับต้องได้ เพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งทานได้บ่อย ๆ
เมื่อสินค้าและราคาลงตัวแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นของร้านลุยไฟ ก็คือ การตลาดบนโลกออนไลน์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งอาศัยประสบการณ์มาจากการทำบริษัทโฆษณานานกว่า 5 ปี
ทำให้คุณบอสเลือกที่จะเน้นการโปรโมตไปที่ “การผลิตคอนเทนต์บนโลกโซเชียลมีเดีย” เป็นจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นการยิงโฆษณาในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไปจนถึงการร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์หลายท่าน
จนทำให้หลาย ๆ คน น่าจะเคยได้เห็นโฆษณาของลุยไฟผ่าน ๆ ตากันมาบ้าง
จนทำให้หลาย ๆ คน น่าจะเคยได้เห็นโฆษณาของลุยไฟผ่าน ๆ ตากันมาบ้าง
ในขณะเดียวกัน คุณบอสยังมองว่า การขายอาหารบนโลกออนไลน์ สิ่งที่จะสื่อสารกับลูกค้าได้ดีที่สุดก็คือ “คอนเทนต์” ไม่ว่าจะเป็นแคปชันหรือรูปภาพ ก็สามารถดึงดูดลูกค้าและปิดการขายได้
ซึ่งเทคนิคที่ร้านลุยไฟเลือกใช้ก็คือ การถ่ายภาพแบบ “บ้าน ๆ และเป็นกันเอง”
แม้การถ่ายรูปภาพแบบโปรดักชันส์จัดเต็มจะทำให้อาหารดูสวยไร้ที่ติ จนสร้างความดึงดูดให้กับลูกค้า
แต่รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้ว การถ่ายภาพอาหารแบบบ้าน ๆ กลับสร้างยอดขายได้มากกว่า
แต่รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้ว การถ่ายภาพอาหารแบบบ้าน ๆ กลับสร้างยอดขายได้มากกว่า
นอกจากจะเน้นถ่ายเนื้อให้ดูเห็นเนื้อสัมผัสชัด ๆ แล้ว เราก็ควรถ่ายรูปให้เป็นกันเอง ราวกับการมากินข้าวที่บ้านเพื่อน เพราะลูกค้าจะรู้สึกว่ากล่องเนื้อนั้นดูสมจริง และดูเข้าถึงง่ายมากกว่า
แต่รูปภาพที่ดี ก็ต้องมาคู่กับการสร้างคอนเทนต์ที่เข้าถึงง่ายด้วยเช่นกัน
แต่รูปภาพที่ดี ก็ต้องมาคู่กับการสร้างคอนเทนต์ที่เข้าถึงง่ายด้วยเช่นกัน
ดังนั้นคอนเทนต์ของที่ร้านจึงเน้นไปที่การใช้ภาษาเข้าใจง่าย ขี้เล่น เป็นกันเอง แต่ก็ยังคงอธิบายอาหารอย่างละเอียดให้ลูกค้านึกภาพตามได้
ทั้งหมดนี้ ก็คือ เรื่องราวของลุยไฟ ร้านเนื้อน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน
แต่ก็สามารถยืนอยู่บนตลาดดิลิเวอรีได้อย่างโดดเด่น
แต่ก็สามารถยืนอยู่บนตลาดดิลิเวอรีได้อย่างโดดเด่น
และเราก็หวังว่า กลยุทธ์จากร้านลุยไฟที่เราได้นำมาแบ่งปันในวันนี้ จะเป็นอีกหนึ่งไอเดียในการนำไปต่อยอดและพัฒนาธุรกิจกันนะคะ
Reference:
-สัมภาษณ์ตรงกับคุณจักรพันธ์ ตั้งกุญแจทอง เจ้าของร้านลุยไฟ
-สัมภาษณ์ตรงกับคุณจักรพันธ์ ตั้งกุญแจทอง เจ้าของร้านลุยไฟ
Tag:ลุยไฟ