Business
Thrive Market ร้านขายของชำออนไลน์ ที่ Will Smith เป็นผู้ร่วมลงทุน
21 เม.ย. 2022
Thrive Market ร้านขายของชำออนไลน์ ที่ Will Smith เป็นผู้ร่วมลงทุน /โดย ลงทุนเกิร์ล
ปัจจุบันคนยุคใหม่เริ่มไม่ออกไปจ่ายตลาดเองแล้ว เนื่องจากไม่มีเวลา รวมถึงมีบริการดิลิเวอรีมากมาย ที่ช่วยคัดสรรสินค้าดี ๆ มีคุณภาพมาส่งตรงถึงหน้าบ้าน
ซึ่งในประเทศไทยก็มีหลายแบรนด์ที่หันมารุกตลาดร้านขายของชำออนไลน์นี้ด้วย
ทั้งในฝั่งที่เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตแบบดั้งเดิม เช่น Tesco, Gourmet Market และ Tops
หรือในฝั่งของบริการดิลิเวอรี ก็กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย เช่น Grab และ LINE MAN
ทั้งในฝั่งที่เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตแบบดั้งเดิม เช่น Tesco, Gourmet Market และ Tops
หรือในฝั่งของบริการดิลิเวอรี ก็กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย เช่น Grab และ LINE MAN
อย่างไรก็ตาม บริการจัดซื้อ-ส่งสินค้าเหล่านี้ ก็มีบริการที่คล้าย ๆ กันหมด
ดังนั้น ลงทุนเกิร์ลจึงขอนำเสนอ Thrive Market บริการจัดซื้อ-ส่งสินค้าของชำทางออนไลน์ จากสหรัฐอเมริกา ที่กำลังกลายมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ของ Whole Foods เครือซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ ที่จับกลุ่มคนรักสุขภาพ ซึ่งปัจจุบันถูกซื้อไปโดย Amazon
Thrive Market แตกต่างจากบริการจัดซื้อ-ส่งสินค้าอื่น ๆ อย่างไร ?
และทำอย่างไรถึงขึ้นมาเป็นผู้นำอันดับต้น ๆ ของตลาดนี้ได้ ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
และทำอย่างไรถึงขึ้นมาเป็นผู้นำอันดับต้น ๆ ของตลาดนี้ได้ ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ในสหรัฐอเมริกามีบริการจัดซื้อ-ส่งสินค้าของชำ นำหน้าประเทศไทยมาเกือบ 10 ปี แต่สำหรับสินค้าเพื่อสุขภาพและสินค้าออร์แกนิก กลับเพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นานนัก
จริง ๆ แล้วสินค้าเพื่อสุขภาพและสินค้าออร์แกนิก มักหาซื้อได้ยาก โดยจะขายตามร้านค้าที่ขายสินค้าประเภทนี้โดยเฉพาะ
ซึ่งการที่หลายคนคิดว่า Thrive Market กำลังเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ Whole Foods นั้น เพราะว่าทั้งคู่มีบริการที่คล้าย ๆ กัน นั่นก็คือ “บริการสั่งซื้อทางออนไลน์ และจัดส่งสินค้าคุณภาพถึงหน้าประตูบ้าน”
แต่ความพิเศษของ Thrive Market ก็คือ ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าประเภทออร์แกนิก, เพื่อสุขภาพ และไม่ผ่านการตัดต่อทางพันธุกรรม ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด
โดยใช้รูปแบบโมเดล Subscription หรือการสมัครสมาชิก เพื่อเข้าถึงความคุ้มค่า ด้วยราคาเริ่มต้น 340 บาทต่อเดือน และประมาณ 2,000 บาทสำหรับรายปี
ซึ่งในปี 2021 เมื่อ Thrive Market เดินทางมาถึงปีที่ 8 มีสมาชิกมากถึง 1.2 ล้านคน เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 2 เท่าตัว จากปีก่อน
ทำให้ล่าสุดในปี 2022 Thrive Market จึงได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน “The Most Influential Company” หรือบริษัททรงอิทธิพลที่สุด ในหมวดหมู่ของ “บริษัทขนส่งอาหารเพื่อสุขภาพ” จากนิตยสาร Time
ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ก็คือ คุณ Nick Green ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง CEO และผู้ร่วมก่อตั้งอีก 3 คน นั่นก็คือคุณ Gunnar Lovelace, คุณ Sasha Siddhartha และคุณ Kate Mulling
โดยจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปในปี 2014 ที่ขณะนั้นสินค้าเพื่อสุขภาพและสินค้าออร์แกนิก ค่อนข้างหาซื้อได้ยาก ทำให้คนในบางพื้นที่ต้องเดินทางไปไกล ๆ เพื่อซื้อสินค้าเท่านั้น
ดังนั้นไอเดียของ Thrive Market จึงเกิดจาก Pain Point ในการซื้อสินค้าออร์แกนิกที่ยากลำบาก
ซึ่งเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น โมเดลธุรกิจของ Thrive Market ก็สามารถเตะตานักลงทุนหลาย ๆ ราย เช่น Greycroft Partners, E-Ventures, Cross Culture Ventures, Invus รวมถึงคนดังอย่างคุณ John Legend, คุณ Demi Moore และคุณ Will Smith จนสามารถระดมทุนได้ถึง 4,800 ล้านบาท
แล้ว Thrive Market มีโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจอย่างไร ?
อันดับแรกคือ มีสินค้าให้เลือก “หลากหลาย”
ปัจจุบัน Thrive Market มีสินค้ามากกว่า 6,000 รายการ ในกว่า 100 หมวดหมู่ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ ซึ่งมีตั้งแต่สินค้าอุปโภคบริโภค, ความงาม ไปจนถึงสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง จากแบรนด์ดัง ๆ ในตลาด เช่น Burt's Bees, Acure, Annie's และ Bragg
นอกจากสินค้าแบรนด์ดังแล้ว บริษัทยังสนับสนุนสินค้าเพื่อสุขภาพในท้องถิ่นหรือชุมชน
รวมถึงทางบริษัทเองก็มีการผลิตสินค้าแบรนด์ของตัวเองด้วยเช่นกัน ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เพราะในปี 2021 เฉพาะแค่สินค้าเหล่านี้ ก็สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 3,400 ล้านบาทเลยทีเดียว
ทำให้ Thrive Market คือแหล่งรวมสินค้าเพื่อสุขภาพ คุณภาพดี ที่หาซื้อได้ยาก
แต่สิ่งที่พิเศษไปกว่านั้น ก็คือ สินค้าเหล่านี้ยังมาในราคาที่ถูกกว่าเจ้าอื่น ๆ
ดังนั้นจุดเด่นต่อมา จึงเป็น “ความคุ้มค่า”
ดังนั้นจุดเด่นต่อมา จึงเป็น “ความคุ้มค่า”
โดย Thrive Market มักจะมอบสิทธิประโยชน์ที่เหนือชั้นให้กับลูกค้าเสมอ ๆ เช่น ส่วนลด, ของสมนาคุณ และสินค้าทดลองให้กับลูกค้าทุก ๆ การสั่งซื้อ
นอกจากนั้น สินค้าที่ Thrive Market บางรายการยังมีราคาถูกกว่าเจ้าอื่น ๆ ประมาณ 20-50% เลยทีเดียว
เรียกได้ว่า ลูกค้ายอมจ่ายค่าสมาชิกให้กับ Thrive Market เพื่อแลกกับความคุ้มค่าเหล่านี้
และที่สำคัญ หากเราประหยัดได้ไม่ถึงยอดค่าสมาชิก ทางบริษัทก็จะให้ “เครดิตเงินคืน” สำหรับซื้อสินค้าในแอปพลิเคชัน หลังจากที่เราต่ออายุสมาชิกเรียบร้อย
และที่สำคัญ หากเราประหยัดได้ไม่ถึงยอดค่าสมาชิก ทางบริษัทก็จะให้ “เครดิตเงินคืน” สำหรับซื้อสินค้าในแอปพลิเคชัน หลังจากที่เราต่ออายุสมาชิกเรียบร้อย
อย่างสุดท้ายคือ “ใส่ใจสังคม” และ “สิ่งแวดล้อม”
แม้ว่าเป้าหมายแรกของบริษัท คือการนำเสนอสินค้าเพื่อสุขภาพให้กับทุกคนในพื้นที่อย่างทั่วถึงก็ตาม แต่จากปัจจุบัน “ความยั่งยืน” ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่บริษัทให้ความสนใจ
อย่างที่รู้กันดีว่า ยิ่งองค์กรใหญ่เท่าไร ก็ย่อมสร้างผลกระทบให้กับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นเท่านั้น
แต่สำหรับ Thrive Market แล้ว การเติบโตและการรับผิดชอบต่อสังคม จะต้องเป็นสิ่งที่ควบคู่กันไป
แต่สำหรับ Thrive Market แล้ว การเติบโตและการรับผิดชอบต่อสังคม จะต้องเป็นสิ่งที่ควบคู่กันไป
ซึ่งทุกแบรนด์ที่วางขายใน Thrive Market จะต้องมีแหล่งการผลิตที่ถูกจรรยาบรรณ มีความรับผิดชอบต่อสังคม และยั่งยืน
นอกจากนั้นกระบวนการขนส่งอาหารแช่แข็ง หรือสินค้าต่าง ๆ จะถูกส่งด้วยแพ็กเกจจิงรีไซเคิลทั้งหมด เพื่อลดปริมาณขยะที่ไม่จำเป็น
และล่าสุดในปี 2020 บริษัท Thrive Market ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งใน “B Corporation” องค์กรที่รับรองมาตรฐานความโปร่งใส ในการดำเนินงานทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
ซึ่งถือว่า Thrive Market เป็นร้านขายของชำที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับมาตรฐานการรับรองนี้
นอกจากนั้น การที่เราเป็นสมาชิกของ Thrive Market ยังถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน บุคคลที่มีรายได้น้อยอีกด้วย
เนื่องจาก Thrive Market จะนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการสมัครสมาชิก ไปเป็นค่าใช้จ่ายในการสมัครสมาชิกให้กับครอบครัวที่มีรายได้น้อย, นักเรียน, คุณครู และทหารผ่านศึก
รวมถึงในช่วงวิกฤติโรคระบาด Thrive Market ยังมอบสินค้าและฟรีค่าสมาชิก ให้กับคนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติในครั้งนี้อีกด้วย โดยมียอดบริจาคไปแล้วถึง 3.4 ล้านบาท
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงมองเห็นแล้วว่า ทำไม Thrive Market ถึงเป็นหนึ่งโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เพราะนอกจากแบรนด์จะมุ่งพัฒนาสินค้าและบริการ จนเทียบเคียงกับแบรนด์หลักในตลาดแล้ว ยังสามารถสร้างจุดยืนที่แตกต่างได้อีกด้วย