Amira Rasool หญิงสาววัย 26 ปี ที่อยากสร้างอาณาจักรแบรนด์หรู แห่งแอฟริกา
Business

Amira Rasool หญิงสาววัย 26 ปี ที่อยากสร้างอาณาจักรแบรนด์หรู แห่งแอฟริกา

2 พ.ค. 2022
Amira Rasool หญิงสาววัย 26 ปี ที่อยากสร้างอาณาจักรแบรนด์หรู แห่งแอฟริกา /โดย ลงทุนเกิร์ล
หลาย ๆ ครั้งที่แรงบันดาลใจ ได้มาจากการเดินทาง
ในกรณีของคุณ Amira Rasool ก็เช่นกัน
โดยเธอเป็นหญิงสาว ซึ่งไปเรียนต่อที่ประเทศแอฟริกาใต้
แต่สิ่งที่ได้กลับมา ไม่ได้มีแค่ความรู้ทางวิชาการ
เพราะเธอยังค้นพบว่า คนในพื้นที่กลับมีฝีมือในการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนเหล่านี้ยังขาด คือ ไม่มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ดี
ทำให้ไม่มีโอกาสเฉิดฉายในระดับนานาชาติ ทั้ง ๆ ที่มีศักยภาพ
ดังนั้นคุณ Rasool ที่มองเห็นโอกาสนี้ จึงตัดสินใจเปิดตัว The Folklore แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าแฟชั่น จากเหล่าดีไซเนอร์ชาวแอฟริกา
โดยล่าสุด The Folklore ก็สามารถระดมทุนไปได้ถึงเกือบ 60 ล้านบาท
เรื่องราวของคุณ Rasool และ The Folklore น่าสนใจอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ขณะที่คุณ Rasool กำลังศึกษาในระดับปริญญาโท ด้านปรัชญาแอฟริกา ที่เคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ ทำให้เธอมีโอกาสท่องเที่ยวไปทั่วทั้งทวีป
ซึ่งนี่เอง ที่เป็นเหตุให้เธอได้พบเจอกับดีไซเนอร์ท้องถิ่นหลายคน
และเริ่มสานความสัมพันธ์ เพื่อที่จะนำผลงานของคนเหล่านี้ ให้ไปปรากฏสู่สายตาชาวโลก
ในปี 2017 หลังจากที่คุณ Rasool เดินทางกลับไปยังสหรัฐฯ
เธอก็ได้ลงมือในการทำให้ฝันเป็นจริง
ซึ่งแรก ๆ เธอใช้เงินลงทุนของตัวเอง แถมทำเองแทบทุกอย่าง เปิดเป็น The Folklore เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ขายสินค้าจากแอฟริกา โดยมีเพียงคุณแม่ ที่มาช่วยบรรจุและส่งสินค้า
เมื่อกิจการเริ่มเติบโต จึงจ้างคนมาเติมเต็มในตำแหน่งต่าง ๆ เช่น ฝ่ายการตลาด ฝ่ายจัดซื้อ ไปจนถึงฝ่ายผลิตคอนเทนต์ดิจิทัล
โดยปัจจุบัน The Folklore มีดีไซเนอร์ที่เข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ถึงระดับ 30 รายเลยทีเดียว
รวมถึงเริ่มเป็นที่สนใจของสื่อแฟชั่นรายใหญ่ ๆ เช่น Elle, Footwear News และ Harper’s Bazaar
The Folklore ใช้โมเดลธุรกิจแบบ Direct-to-consumer หรือก็คือ การขายสินค้าโดยตรงให้กับลูกค้าแบบครบวงจร โดยไม่ผ่านตัวกลาง
โดย The Folklore เป็นเหมือนคนกลางที่เข้ามาช่วยแบรนด์ต่าง ๆ ให้มีหน้าร้านบนโลกออนไลน์ และช่วยส่งสินค้าไปให้ถึงมือลูกค้า โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวอเมริกัน และคนในทวีปยุโรป
ส่วนแบรนด์ที่เข้าร่วมกับ The Folklore ก็จะมีทั้งสินค้าพรีเมียมแบรนด์ หรือสินค้าที่มีราคาสูง
ไปจนถึงสินค้าแบรนด์หรู อย่าง Viviers แบรนด์ที่เลือกนำเสนอเสื้อผ้าแบบจำนวนจำกัด และ Zashadu แบรนด์ที่ได้หยิบเอาการทำกระเป๋าหนังแบบดั้งเดิมของไนจีเรีย มานำเสนอในสไตล์โมเดิร์น
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดคุณ Rasool ยังได้เริ่มขยายโมเดลธุรกิจ สู่การเป็น B2B หรือ Business-to-business ผ่านบริการชื่อ The Folklore Connect
โดยให้ลูกค้าที่เป็นผู้ค้ารายย่อย ใช้ The Folklore Connect เป็นตัวกลาง เพื่อเข้าถึงแบรนด์จากแอฟริกาโดยตรง
เนื่องจากอุปสรรคที่เธอพบในช่วงแรก ที่เริ่มก้าวเข้าสู่ธุรกิจนี้
อย่างแรกคือ “ระบบการชำระเงิน” ในแต่ละประเทศของทวีปแอฟริกามีความแตกต่างกัน จึงเกิดความยุ่งยาก แต่ด้วย The Folklore Connect ที่มีระบบการชำระเงินเป็นของตัวเอง จึงน่าจะช่วยให้การชำระเงิน เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
นอกจากนั้นยังมีเรื่องของ “การขนส่ง” ซึ่งจากเดิมคุณ Rasool ยังไม่มีข้อตกลงกับบริษัทขนส่ง ทำให้ค่าขนส่งข้ามทวีปจึงสูงมาก
ดังนั้น คุณ Rasool จึงร่วมหารือกับเหล่าดีไซเนอร์ และไปเป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัทขนส่ง เพื่อให้ต้นทุนในการขนส่งลดลง
ซึ่งปัจจุบัน The Folklore Connect ก็มีร้านค้าปลีกในสหรัฐฯ ประมาณ 15 รายแล้ว ที่สนใจจะนำสินค้าจากแอฟริกาไปจำหน่าย
โดยรายได้ของ The Folklore Connect จะแบ่งออกเป็น
กรณีร้านค้าปลีก ที่เป็นสมาชิกแบบฟรี The Folklore จะคิดค่าคอมมิชชันจากยอดคำสั่งซื้อ
แต่ในกรณีที่จ่ายค่าสมาชิกรายปี ร้านค้าปลีกก็จะจ่ายค่าคอมมิชชันลดลง รวมถึงจะสามารถเข้าถึงข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า จากฝั่ง Direct-to-consumer ได้ด้วย
ส่วนในฝั่งของแบรนด์และดีไซเนอร์จากแอฟริกา จะไม่มีค่าแรกเข้า
แต่จะมีทีมงานจาก The Folklore เข้าไปช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ
เช่น การขนส่ง, การอำนวยความสะดวกด้านการผลิต ไปจนถึงการนำเสนอสินค้า
ซึ่งการปรับตัวนี้ ก็น่าจะทำให้ The Folklore เติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น
ทั้งในฝั่งการเข้าถึงลูกค้า รวมถึงมีแหล่งวัตถุดิบที่มั่นคง
และล่าสุด The Folklore ก็สามารถระดมทุนได้ถึง 57 ล้านบาท
โดยมีบริษัทร่วมทุน อย่าง Slauson & Co. และ Techstars Seattle Accelerator เป็นผู้นำในการระดมทุนครั้งนี้
ส่วนเงินระดมทุนครั้งนี้ จะถูกนำมาใช้ในการรองรับการเติบโตของธุรกิจ ที่กำลังค่อย ๆ เติบโตมากขึ้น
ซึ่งความฝันสูงสุดของคุณ Rasool คือการเป็นให้ได้แบบ LVMH
บริษัทจากฝรั่งเศส ที่เป็นเจ้าของแบรนด์หรูทั่วโลกกว่า 75 แบรนด์
ซึ่งถึงแม้ The Folklore จะไม่ได้เป็นเจ้าของแบรนด์เหล่านี้โดยตรง
แต่บางครั้งการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่ง
ก็อาจเทียบได้กับ การมีอาณาจักรที่มั่นคง เช่นกัน..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.