Bulgari ตำนานเครื่องประดับ 136 ปี
Business

Bulgari ตำนานเครื่องประดับ 136 ปี

28 ส.ค. 2020
Bulgari ตำนานเครื่องประดับ 136 ปี /โดย ลงทุนเกิร์ล
รู้หรือไม่ Bulgari (บุลการี) เริ่มต้นมาจากการเป็นร้านเครื่องเงินธรรมดาๆเท่านั้น
ในตอนแรก เครื่องประดับที่วางขายทำจากแร่เงิน
ไม่มีทองคำ และเพรชพลอยประดับเหมือนอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้
แต่กว่าแบรนด์ Bulgari จะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้
เหล่าผู้ก่อตั้งเขาทำอย่างไร ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง..
เริ่มแรก เราอาจจะต้องทำความเข้าใจกับความซับซ้อนของการใช้ชื่อแบรนด์ Bulgari กันก่อน
คำว่า “บุลการี” สามารถเขียนได้ 3 แบบ คือ
Voulgaris, Bulgari และ BVLGARI
แม้ว่าทั้ง 3 คำนี้จะออกเสียงคล้ายๆกัน
แต่กลับมีเหตุผลที่ใช้แตกต่างกัน
คำว่า “Voulgaris” มาจากภาษากรีก
ซึ่งเป็นการสะกดตามนามสกุลของผู้ก่อตั้ง
ส่วน Bulgari ที่สะกดด้วยตัว “u”
จะใช้ในกรณีทั่วๆไป ที่มีการเขียนถึงแบรนด์
และชื่อ account ในโซเชียลมีเดียของแบรนด์ก็จะสะกดแบบนี้ด้วย
ส่วนการสะกดแบบ “BVLGARI” ที่เราคุ้นตากันมากที่สุด
จะใช้ตัว V แทนตัวอักษร u
ซึ่งการสะกดแบบนี้ใช้เฉพาะบน “โลโก้” หรือเครื่องค้าการค้าเท่านั้น
พอเข้าใจวิธีการสะกดชื่อแบรนด์แล้ว
เรามาย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของแบรนด์นี้กันค่ะ
เมื่อประมาณ 136 ปีที่แล้ว ในโรม ประเทศอิตาลี
ร้านเครื่องเงินที่ชื่อว่า “S. Bulgari” ได้เปิดให้บริการเป็นครั้งแรก
ผู้ก่อตั้งร้านแห่งนี้ เป็นช่างทำเครื่องเงินชาวกรีก
ที่ชื่อว่า Sotirio Voulgaris
คุณ Sotirio Voulgaris ถือเป็นหนึ่งในช่างทำเครื่องเงินมากฝีมือคนหนึ่ง
งานทุกชิ้นจะถูกทำขึ้นอย่างตั้งใจ ละเอียด และปราณีต
ในขณะเดียวกัน ร้านแห่งนี้ยังมีเอกลักษณ์อยู่ที่
สไตล์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมของ “กรีกโรมัน”
ซึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นกรีกโรมันนี้ อยู่คู่กับร้านมาตั้งแต่วันแรก
จนกระทั่งปัจจุบัน แบรนด์ Bulgari ก็ยังคงเอกลักษณ์นี้เอาไว้อยู่
และถ้าเราสังเกตดีๆ
จะเห็นว่าสินค้าหลายชิ้นถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้าย “งู”
ซึ่งมีที่มาจาก รากเหง้าและประเพณีของ “กรีกโรมัน” นั่นเอง
โดย งู ถือเป็น ไอคอนของแบรนด์
ที่สื่อถึง “สติปัญญา ความแข็งแกร่ง และความเป็นนิรันดร์”
ในช่วงที่เพิ่งเปิดร้าน S. Bulgari ใหม่ๆ
ร้านเครื่องเงินแห่งนี้ได้รับความนิยม และเติบโตอย่างรวดเร็ว
เพราะสินค้ามีความประณีต และสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์
ยิ่งไปกว่านั้นสินค้าที่ร้านแห่งนี้ ยังเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่เดินทางมาทัวร์ในโรมอีกด้วย
ซึ่งในสมัยนั้น คนที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ จะเป็นพวกชนชั้นสูงผู้ร่ำรวยเท่านั้น
ดังนั้น กลุ่มคนเหล่านี้จึงกลายเป็นกลุ่มลูกค้าชั้นดี ให้กับร้านเครื่องเงินแห่งนี้
เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจขยายสาขาเพิ่มอีกหนึ่งแห่ง
ซึ่งสาขาแห่งใหม่นี้ จะตั้งอยู่ในย่านท่องเที่ยวอย่าง Via Condotti
เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
หลังจากนั้นลูกชายทั้ง 2 คนของคุณ Sotirio Voulgaris ก็ได้เข้ามาช่วยดูแลกิจการ
และการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกของแบรนด์ Bulgari ก็มาถึง
เมื่อพวกเขาได้ยกระดับของแบรนด์
จากการขาย “เครื่องเงิน” ที่ราคาไม่สูงมาก สู่ การขายเครื่องประดับที่ทำจาก “ทองคำ”
เรื่องนี้ทำให้แบรนด์ Bulgari ที่จากเดิมก็ดูแพงอยู่แล้ว ยิ่งดูหรูหราขึ้นไปอีกขั้น
นอกจากนี้การขายทองคำ ยังทำให้พวกเขาสามารถขายสินค้าในราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิมได้มากๆ
แถมยอดขายก็ยังสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
แล้วทำไมการขายสินค้าแพงขึ้น กลับขายได้มากขึ้น?
สาเหตุแรกก็เป็นเพราะ กลุ่มลูกค้าในสมัยนั้น เป็นพวกนักท่องเที่ยวผู้ร่ำรวย
ดังนั้นแม้ว่าสินค้าจะแพงขึ้น พวกเขาก็ยังซื้อได้สบายๆ
ส่วนสาเหตุที่สองก็คือ
เมื่อราคาสินค้าสูงขึ้น ร้านค้าก็ไม่ต้องขายสินค้าแบบเน้นปริมาณเหมือนเมื่อก่อน
สมมติว่าเราขายเครื่องเงินชิ้นละ 20 บาท ต้องขายให้ได้ 5 ชิ้นถึงจะได้เงิน 100 บาท
แต่ถ้าเราขายทองคำชิ้นละ 50 บาท ขายเพียง 2 ชิ้นก็จะได้เงิน 100 บาทแล้ว
ดังนั้นทั้ง 2 สาเหตุนี้จึงเป็นที่มาของยอดขายที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ในการเพิ่มสินค้าพวกทองคำแล้ว
แบรนด์ Bulgari ก็เดินทางมาถึงจุดที่มีการใส่ “อัญมณี” เข้าไปในเครื่องประดับ
พลอยเม็ดที่วางอยู่ตรงกลางตัวเรือน
มักจะใช้เป็นพลอยที่เจียระไนแบบ “หลังเบี้ย”
ที่มีลักษณะแบบโค้งมน คล้ายหลังเต่า
ซึ่งที่มาของการเลือกใช้พลอยหลังเบี้ย ก็มาจากสถาปัตยกรรมรูปทรงโดมของโรมันนั่นเอง
และพลอยแบบหลังเบี้ยก็ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของ Bulgari จนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ Bulgari ยังมีการคัดเลือก “เฉดสีพลอย” ซึ่งจะยิ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า
แม้ว่าจะเป็นพลอยเหมือนๆกัน ชนิดเดียวกัน
แต่ถ้าเฉดสีต่างกัน มูลค่าของพลอยก็จะแตกต่างกันไป
หลังจากการเพิ่มสินค้าทั้งทองคำ และอัญมณี
แบรนด์ Bulgari เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงขนาดที่ว่า ร้าน Bulgari สาขา Via Condotti
กลายเป็นแหล่งนัดพบของพวกดาราและคนดังในสมัยนั้น
จุดนี้เองที่ทำให้แบรนด์ Bulgari มีชื่อเสียงดังไกลไปต่างประเทศอย่างรวดเร็ว
ซึ่งหลังจากนั้น Bulgari ก็ได้ตัดสินใจขยายสาขาไปยังยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก
และนี้ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นสู่การเป็น Global brand
ปัจจุบัน Bulgari อยู่ภายใต้บริษัท LVMH
ซึ่งเป็น “บริษัทเจ้าของแบรนด์หรู” รายใหญที่สุดในโลก
ด้วยมูลค่าบริษัทกว่า 6.3 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ในรายงานประจำปี 2019 ของ LVMH ยังระบุว่า
Bulgari เป็นหนึ่งในแบรนด์สุดแข็งแกร่ง ของกลุ่มธุรกิจเครื่องประดับและนาฬิกา
โดยผลประกอบการของแบรนด์ยังคงเติบโต และขยายส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น
แล้วเราได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง?
กุญแจดอกสำคัญที่ทำให้แบรนด์ Bulgari เติบโตได้เสมอ
ก็คือ “การไม่หยุดที่จะพัฒนา”
แม้ว่าแบรนด์ Bulgari จะมีลูกค้ามากมาย
แต่พวกเขากลับไม่เคยหยุดกับความสำเร็จเพียงแค่เท่านั้น
ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา
สิ่งที่พวกเขาทำก็คือ การก้าวขึ้นไปให้สูงขึ้น และสูงขึ้น..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.