รู้จัก “เครดิตสกอริง” ส่วนหนึ่งที่ทำให้การขอสินเชื่อ “ผ่าน-ไม่ผ่าน”
Business

รู้จัก “เครดิตสกอริง” ส่วนหนึ่งที่ทำให้การขอสินเชื่อ “ผ่าน-ไม่ผ่าน”

3 มิ.ย. 2023
รู้จัก “เครดิตสกอริง” ส่วนหนึ่งที่ทำให้การขอสินเชื่อ “ผ่าน-ไม่ผ่าน” /โดย ลงทุนเกิร์ล
หลายคนคงเคยได้ยินว่า เพราะเครดิตไม่ดี เลยทำให้ขอสินเชื่อไม่ผ่าน
แล้วคำว่า “เครดิตไม่ดี” ใช้อะไรวัด ?
ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่ผู้ให้สินเชื่อ ใช้ดูเครดิตของผู้ขอสินเชื่อแต่ละคน เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาว่าจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติสินเชื่อ ก็คือ “เครดิตสกอริง”
แล้วเครดิตสกอริงที่ว่านี้ เกี่ยวกับการขอสินเชื่ออย่างไร ?
มีปัจจัยอะไรบ้าง ที่ให้เครดิตสกอริง มีคะแนนต่ำหรือสูง
และใครเป็นคนให้คะแนนเหล่านี้ ?
ลงทุนเกิร์ลจะสรุปให้ฟัง
เวลาจะไปขอสินเชื่อที่ไหน สิ่งแรก ๆ ที่มักจะถูกพูดถึงคือ “เครดิตบูโร”
ซึ่งต้องบอกก่อนว่า เครดิตบูโร ไม่ได้มีหน้าที่อนุมัติหรือไม่อนุมัติสินเชื่อของเรา เพราะเครดิตบูโร เป็นเพียงบริษัทที่มีหน้าที่เก็บข้อมูลการชำระหนี้ของคนไทยเท่านั้น
โดยสถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงิน ที่เป็นสมาชิกของเครดิตบูโร จะสามารถขอตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ของผู้ที่มาขอสินเชื่อได้ ว่าที่ผ่านมาเรามีพฤติกรรมการชำระหนี้อย่างไร
พูดง่าย ๆ คือ สามารถนำข้อมูลนี้ไปเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาและประเมินว่า เราจะมีโอกาสเบี้ยวหนี้ในอนาคตมากน้อยแค่ไหน
ซึ่งเครดิตบูโรจะมี “รายงานข้อมูลเครดิต” ที่แสดงประวัติการชำระหนี้ 3 ปีที่ผ่านมาของเรา
และอีกหนึ่งข้อมูลที่มีส่วนในการนำไปพิจารณาสินเชื่อ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “เครดิตสกอริง” (Credit Scoring)
เครดิตสกอริง ก็คือคะแนนเครดิต ที่มาจากการนำข้อมูลเครดิต ที่เป็นประวัติการจ่ายหนี้ที่เครดิตบูโรรวบรวมไว้ มาวิเคราะห์และประมวลผลตามหลักสถิติทางคณิตศาสตร์
เพื่อสะท้อนความน่าเชื่อถือด้านการเงินของแต่ละคน ออกมาเป็นระดับเครดิตต่าง ๆ ให้เห็นได้ง่าย ๆ ว่า เครดิตของเราจัดอยู่ในเกณฑ์ดีหรือไม่
โดยเครดิตสกอริง จะแสดงระดับคะแนนเครดิต ตั้งแต่เกรดสูงสุด AA จนถึง HH
ซึ่งจะสอดคล้องกับเครดิตสกอริงจากมากไปน้อย โดยแบ่งช่วงเครดิตสกอริง (Score Range) ออกได้ดังนี้
คะแนน 753-900 ระดับเครดิต AA
คะแนน 725-752 ระดับเครดิต BB
คะแนน 699-724 ระดับเครดิต CC
คะแนน 681-698 ระดับเครดิต DD
คะแนน 666-680 ระดับเครดิต EE
คะแนน 646-665 ระดับเครดิต FF
คะแนน 616-645 ระดับเครดิต GG
คะแนน 300-615 ระดับเครดิต HH
ซึ่งสิ่งที่ซ่อนอยู่ในระดับเครดิตของแต่ละคน มีหลายปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็น
ยอดหนี้คงเหลือ/ยอดวงเงินที่ใช้ เปรียบเทียบกับวงเงินสินเชื่อ
ยอดหนี้คงเหลือ/ยอดวงเงินที่ใช้ รวมแต่ละประเภทสินเชื่อ
จำนวนบัญชีที่เพิ่งเปิด แต่ละประเภทสินเชื่อ
จำนวนเงินคงค้างล่าสุด
ความยาว (ระยะเวลา) ของประวัติสินเชื่อตามแต่ละประเภทสินเชื่อ
จำนวนบัญชีที่มีประวัติการชำระเงินที่ดี
ความยาว (ระยะเวลา) ของบัญชีสินเชื่อที่มี
ความถี่ในการสมัครสินเชื่อใหม่
นั่นหมายความว่า การที่จะรักษาระดับเครดิตสกอริงให้อยู่ในระดับที่ดีนั้น ไม่ใช่แค่มีประวัติการจ่ายหนี้ดี หรือชำระหนี้ให้ตรงเวลาเท่านั้น
แต่ยังต้องคำนึงถึงยอดหนี้ และการขอสินเชื่อหลาย ๆ บัญชีอีกด้วย
และหากเราขอ “รายงานเครดิตสกอริง” ออกมาเพื่อตรวจสอบ เครดิตบูโรก็จะให้เหตุผลประกอบคะแนนเครดิตของเราด้วย
เช่น ได้เครดิตสกอริง 700 ระดับเครดิต CC
เหตุผลประกอบคะแนนเครดิต คือ มีประวัติสินเชื่อที่ดีจำกัด, มีวงเงินคงเหลือค่อนข้างน้อย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เครดิตสกอริง มีรายละเอียดที่แตกต่างกันเฉพาะบุคคล ดังนั้นหากต้องตรวจสอบรายละเอียดจึงควรสอบถามจากเครดิตบูโรโดยตรง
โดยสามารถตรวจสอบได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่เปิดให้บริการ > https://bit.ly/3Kcuson
แล้วเครดิตสกอริง มีประโยชน์ต่อตัวเจ้าของบัญชี หรือผู้ขอสินเชื่อ อย่างไรบ้าง ?
อย่างที่บอกไปว่าเครดิตสกอริงเป็นส่วนหนึ่งในการนำไปพิจารณาสินเชื่อ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาพิจารณาด้วย ไม่ว่าจะเป็นรายได้ อาชีพ อายุ ฯลฯ ตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการทางการเงิน หรือผู้ให้สินเชื่อ
อย่างไรก็ตาม การรักษาเครดิตสกอริงให้อยู่ในระดับที่ดีอยู่เสมอ ก็สามารถสะท้อนว่า เรามีการบริหารจัดการหนี้ได้ดี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขอสินเชื่อมีเครดิตที่ดี ในมุมมองของผู้ให้สินเชื่อ
นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ขอสินเชื่อใหม่ แต่มีสินเชื่อที่กำลังผ่อนชำระอยู่
การตรวจสอบเครดิตสกอริง ก็ช่วยให้เห็นภาพรวมหนี้ของตัวเอง ซึ่งช่วยให้เราเห็นว่า ควรบริหารจัดการหนี้อย่างไรต่อไป เพื่อให้อยู่สถานะที่ยังเป็นคนที่มีเครดิตดี
เพราะเครดิตสกอริง จะมีผลในการขอสินเชื่อในอนาคต หากเราจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องขอสินเชื่อใหม่ นั่นเอง..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.