Nose Tea แบรนด์ชาชีสคิวยาว ตีตลาดอย่างไร ให้ยอดขายโตกว่า 250% ใน 3 เดือน
Business

Nose Tea แบรนด์ชาชีสคิวยาว ตีตลาดอย่างไร ให้ยอดขายโตกว่า 250% ใน 3 เดือน

5 ก.ย. 2023
Nose Tea แบรนด์ชาชีสคิวยาว ตีตลาดอย่างไร ให้ยอดขายโตกว่า 250% ใน 3 เดือน /โดย ลงทุนเกิร์ล
“Nose Tea” คือ ร้านชาชีส แบรนด์น้องใหม่ของคนไทย ที่กำลังอยู่ในความสนใจ จากการสร้างคอนเทนต์ใน TikTok จนเกิดปรากฏการณ์ลูกค้าต่อคิวยาวเหยียดทุกวัน
แล้วอะไรทำให้แบรนด์เครื่องดื่มน้องใหม่อย่าง Nose Tea ตีตลาดชาแตก ดันยอดขายอย่างก้าวกระโดด
วันนี้ ลงทุนเกิร์ล มีโอกาสได้พูดคุยกับ คุณไผ่-กชณิชา ฐิติชนาโชติ ผู้ก่อตั้งแบรนด์
ถึงเบื้องหลังของปรากฏการณ์ต่อคิวซื้อชา ที่ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ
ต้องเท้าความว่า ก่อนที่คุณไผ่จะมาลุยธุรกิจร้านชา เธอเป็นเจ้าของแบรนด์ “Nakiz Lively Nose” ครีมลอกสิวเสี้ยน โลโกจมูกสีเขียว ที่หลายคนน่าจะเคยได้ลองใช้กันมาบ้างแล้ว
แม้ที่ผ่านมาที่ลอกสิวเสี้ยน จะได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี แต่แพสชันในการมองหาโอกาสใหม่ ๆ ของคุณไผ่ยังไม่หมด
ด้วยความที่คุณไผ่และสามีชอบ “ดื่มชา” เป็นชีวิตจิตใจ ถึงขั้นเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อตระเวนดื่มชา และมีโอกาสทำให้ได้รู้จัก “ชาชีส”
แต่พอกลับมาประเทศไทย กลับพบว่า ยังไม่มีแบรนด์ชาชีสขายแบบจริงจัง และไม่เจอรสชาติที่ตัวเองถูกใจ
คุณไผ่จึงเริ่มคิดค้นสูตรชาชีสขึ้นมาดื่มเอง เธอใช้เวลาเกือบปี ในการลองผิดลองถูก จนกระทั่งค้นพบรสชาติชาชีสแบบที่ตัวเองตามหา
ขณะเดียวกัน ก็มีความรู้สึกว่า สูตรชาชีสที่คิดค้นขึ้นนี้ อร่อยจนเก็บไว้คนเดียวไม่ได้
จึงปิ๊งไอเดียเปิดร้านชาชีส เพื่อแบ่งปันความอร่อยให้คอชาทั้งหลาย
โดยตั้งชื่อร้านว่า “Nose Tea” พร้อมใช้โลโกจมูกสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นโลโกเดิมของครีมลอกสิวเสี้ยน
ที่น่าสนใจไม่แพ้การเลือกใช้โลโก คือในเวลาเพียงไม่นาน Nose Tea ก็กลายเป็นแบรนด์ชาที่ได้รับความนิยม และถูกพูดถึงอย่างมากในโซเชียลมีเดีย
โดยเฉพาะหลังจากที่คอนเทนต์เล่าสตอรีของแบรนด์ถูกปล่อยไปใน TikTok ดันยอดวิวหลักล้าน
กลายเป็นกระแสที่ทำให้คอชา ต้องอยากมาพิสูจน์ความอร่อย ถึงขั้นยอมต่อแถวรอซื้อเป็นชั่วโมง ๆ จนยอดขายพุ่งขึ้น 250% ภายใน 3 เดือน
แล้ว Nose Tea ทำอย่างไร ให้สามารถตีตลาดเครื่องดื่มชา ที่รายล้อมไปด้วยคู่แข่งมากมาย ได้สำเร็จ
ลงทุนเกิร์ล สามารถสรุปกลยุทธ์ของ Nose Tea จากการพูดคุยกับคุณไผ่ในครั้งนี้ ออกมาได้ 3 ประเด็น ดังนี้
1.กล้าที่จะแตกต่าง
กลยุทธ์หลักของ Nose Tea คือ ความแตกต่าง ทั้งในแง่ของ “ภาพลักษณ์” และ “รสชาติ”
เริ่มตั้งแต่ภาพลักษณ์ ที่เลือกใช้โลโกร้านชาเป็นรูปจมูกสีเขียว และใช้ชื่อแบรนด์ว่า Nose Tea
คุณไผ่อธิบายว่า สาเหตุที่เลือกโลโกจมูกสีเขียว เพราะมองว่าแบรนด์ Nakiz Lively Nose มีฐานลูกค้าที่คุ้นเคยกับโลโกจมูกสีเขียวอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้สามารถทำการตลาดร้านชาต่อได้ง่าย
ขณะเดียวกัน คนที่ไม่เคยเห็นโลโกจมูกสีเขียวมาก่อน ก็ยากที่จะห้ามตัวเองไม่ให้สงสัยว่า ทำไมถึงเลือกโลโกลายนี้ ซึ่งระหว่างที่กำลังสงสัยก็น่าจะมีภาพจำร้านชาจมูกสีเขียวในหัวไปเสียแล้ว
ส่วนความแตกต่างเรื่องรสชาติ คุณไผ่ก็มั่นใจว่ามีความโดดเด่น และไม่เหมือนร้านไหน ๆ เพราะเป็นสูตรที่คุณไผ่คิดค้นขึ้นเอง และทุ่มเทเวลาเพื่อลงลึกทุกรายละเอียด ตั้งแต่การเฟ้นหาวัตถุดิบ ทั้งใบชา ชีส ผลไม้ ไปจนถึงกระบวนการผลิต
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกองค์ประกอบทำให้รสชาติของ Nose Tea โดดเด่น จนลูกค้าติดใจมาซื้อซ้ำอยู่สม่ำเสมอ
โดยเฉพาะ 3 อันดับเมนูขายดี อย่าง เมนูซิกเนเจอร์ ชานมปั่น ใส่ไข่มุกเม็ดเล็ก ราดด้วยชีสนัว ๆ ที่มีขายเฉพาะหน้าร้าน รวมถึงชาชีสลิ้นจี่ และชาชีสส้ม
2.มาร์เก็ตติงตรงจุด = ไปได้ไกล
แม้คลิปที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Nose Tea เป็นไวรัล จะมาจากการเล่าสตอรีของแบรนด์ลงใน TikTok
แต่นี่ไม่ใช่เพียงมาร์เก็ตติงเดียวของแบรนด์ เพราะที่ผ่านมาคุณไผ่ตั้งใจทำการตลาดอย่างจริงจัง ในโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง โดยยึดหลักการ “เรียล เข้าถึงง่าย ฟีดแบ็กได้โดยตรง”
โดยคุณไผ่ เลือกที่จะสื่อสารกับลูกค้าด้วยตัวเอง เพราะเชื่อว่าไม่มีใครที่อินกับสตอรีของผลิตภัณฑ์ดีเท่าตัวเอง ซึ่งมีส่วนทำให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความจริงใจในการสื่อสาร
นอกจากนี้ คุณไผ่ยังวางกลยุทธ์ให้คู่หู 2 แบรนด์จมูกเขียว ทั้งชาและที่ลอกสิวเสี้ยน เติบโตไปพร้อมกันได้ด้วยกลยุทธ์การขายแบบข้ามกลุ่มธุรกิจ
เช่น วางขายที่ลอกสิวเสี้ยนหน้าร้านชา เพื่อให้ลูกค้าที่ยังไม่รู้จัก ได้เห็นผลิตภัณฑ์ หรือซื้อไปทดลองใช้ได้
ขณะเดียวกัน สำหรับลูกค้าที่ชอบใช้ที่ลอกสิวเสี้ยนอยู่แล้ว ก็มีโปรโมชันแลกซองและกล่องที่ลอกสิวเสี้ยนเป็นส่วนลด 10-15 บาท สำหรับการซื้อชาทุกเมนูจาก Nose Tea
แถมสามารถแลกได้ตลอดไป ไม่มีวันหมดอายุ ซึ่งที่ผ่านมาวิธีนี้ช่วยสร้างการรับรู้ และกระตุ้นในเกิดการทดลองใช้/ดื่ม ที่เห็นผลอย่างชัดเจน
3.สินค้าคุณภาพดี ตรงใจ = อยู่ได้นาน “การตลาดจะดีแค่ไหน แต่ถ้ากินแล้วไม่อร่อย ลูกค้าก็ซื้อครั้งเดียว”
แนวคิดนี้ของคุณไผ่ สะท้อนว่าจะเน้นกระแสอย่างเดียวไม่ได้
แต่ต้องทำให้สินค้ามีคุณภาพมากพอ ที่จะทำให้ลูกค้ายอมจ่ายเงินซื้อชาราคาหลักร้อยบาท แบบไม่ผิดหวัง
ตั้งแต่การเทรนพนักงาน การหาซัปพลายเออร์ผลไม้สดและเป็นรสชาติแบบที่ต้องการตลอดทั้งปี
ไปจนถึงคุณภาพของน้ำแข็ง ที่ต้องให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อให้รสชาติชาออกมาแบบที่ตั้งใจทุกแก้ว
คุณไผ่ยอมรับว่าหลังจากที่มีกระแสไวรัล ลูกค้าต้องต่อแถวรอนาน ๆ แต่เพื่อคุณภาพจึงต้องยอมให้ลูกรอ ดีกว่าได้ของที่ไม่มีคุณภาพไป
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ลูกค้ายอมจ่ายเงิน ให้กับชาราคาหลักร้อยบาทนี้ได้ไม่ยาก และความประทับใจยังนำไปสู่การบอกต่อ ที่ช่วยทำให้เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ได้แบบไม่ต้องเสียเงินโฆษณาเองอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม Nose Tea กำลังแก้ปัญหาคิวยาว ด้วยการขยายสาขาให้เร็วที่สุด เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าได้ดื่มชาในรสชาติที่ดีที่สุด ในแบบที่ไม่ต้องรอนานจนเกินไป
โดยเดือนสิงหาคม ปี 2566 ที่ผ่านมา Nose Tea ก็ได้เปิดสาขาใหม่ล่าสุดเป็นสาขาที่ 3
ส่งผลให้ปัจจุบัน Nose Tea มีทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ ทาวน์อินทาวน์ ซอย 4, สยามเซ็นเตอร์ และดิ เอ็มควอเทียร์
ซึ่งภายในสิ้นปี 2566 นี้ มีแผนจะขยายจาก 3 สาขา เป็น 5 สาขา และจะขยายเพิ่มเป็น 10 สาขา ภายในปี 2567 อีกด้วย
การเติบโตที่รวดเร็วท่ามกลางร้านเครื่องดื่มมหาศาล เรียกได้ว่า Nose Tea เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่แม้จะเริ่มต้นจากแพสชัน แต่เติบโตมาด้วยกลยุทธ์ที่เข้มแข็งไม่น้อย
ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเครื่องดื่มอย่าง Nose Tea หรือธุรกิจเพื่อความงามอย่างที่ลอกสิวเสี้ยน Lively Nose
เมื่อมี “ความแตกต่าง” “คุณภาพ” และ “มาร์เก็ตติงที่ตรงจุด”
ก็สามารถทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ แม้การแข่งขันจะสูงขนาดไหนก็ตาม..
Reference:
-สัมภาษณ์พิเศษกับคุณไผ่-กชณิชา ฐิติชนาโชติ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Nose Tea
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.