รู้จัก Smeg จากตระกูลช่างตีเหล็ก สู่เครื่องใช้ในครัวราคาหลักแสน
LifestyleBusiness

รู้จัก Smeg จากตระกูลช่างตีเหล็ก สู่เครื่องใช้ในครัวราคาหลักแสน

14 ธ.ค. 2020
รู้จัก Smeg จากตระกูลช่างตีเหล็ก สู่เครื่องใช้ในครัวราคาหลักแสน /โดย ลงทุนเกิร์ล
ถ้าจะบอกว่ามีแบรนด์หนึ่งที่สามารถตั้งราคาตู้เย็นได้หลักแสน
รวมไปถึงของใช้ชิ้นเล็กๆ อย่างเครื่องปิ้งขนมปัง ราคาหลักหมื่น
พอเห็นแล้ว หลายคนคงคิดว่า น่าจะขายได้ยาก
แต่ไม่ใช่กับ Smeg แบรนด์เครื่องใช้ในครัวจากประเทศอิตาลี
ที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน ผสมผสานกับการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์
ทำให้แม้ว่าราคาสินค้าจะสูงแค่ไหน แต่กลับมีกลุ่มลูกค้าที่ยอมจ่ายอยู่เรื่อยๆ
แล้ว Smeg สามารถทำแบบนั้นได้อย่างไร?
ลงทุนเกิร์ลจะมาเล่าให้ฟังค่ะ 
จุดเริ่มต้นของ Smeg เกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ปีก่อน 
ณ เมือง Guastalla ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี
แบรนด์นี้มีผู้ก่อตั้ง คือ คุณ Vittorio Bertazzoni ในปี 1948
โดยคำว่า “Smeg” มีย่อมาจาก Smalterie Metallurgiche Emiliane Guastalla 
แปลว่า โรงงานเคลือบโลหะ จากเมือง Guastalla ในจังหวัด Reggio Emilia
เนื่องจากตระกูลของคุณ Vittorio Bertazzoni เป็นช่างตีเหล็กมาก่อน 
มีประสบการณ์ทำงานเกี่ยวกับโลหะมาอย่างยาวนาน
ในช่วง 10 ปีแรกของ Smeg จึงเน้นไปที่การเคลือบโลหะ
ต่อมา Smeg ก็ค่อยๆ ขยายประเภทของผลิตภัณฑ์ มาสู่อุปกรณ์ภายในห้องครัว
โดยสินค้าชิ้นแรกของกลุ่มนี้ คือ “เตาทำอาหาร” ซึ่งวางจำหน่ายในปี 1956
ความพิเศษของเตารุ่นนี้ คือ เป็นเตาแก๊สและเตาอบ ที่มีวาล์วนิรภัย 
รวมถึงมีโปรแกรมการปรุงอาหารอยู่ในตัว
การเปิดตัวสินค้าของ Smeg เรียกได้ว่าเลือกช่วงเวลาได้อย่างประจวบเหมาะ
เพราะตรงกับช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู และผู้คนต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น 
หลังจากผ่านความยากลำบากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
สินค้าของ Smeg จึงกลายเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ 
ทำให้แบรนด์เริ่มมีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ตอนนั้น
หลังจากนั้น Smeg ก็ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง 
ทั้งเครื่องซักผ้า เครื่องล้างจาน รวมถึงการทำเตาอบแบบ Built-in
ซึ่งก็เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จแทบทุกชิ้น
เพราะมีการเสริมทั้งด้านนวัตกรรม และจับกระแสความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง
เมื่อทำธุรกิจในสายการผลิตเครื่องใช้ในบ้านมาได้สักพัก
Smeg ก็เริ่มขยายไปสู่เส้นทางใหม่ๆ เช่น
Smeg Foodservice Solutions ผลิตภัณฑ์ที่มาตอบโจทย์ธุรกิจร้านอาหาร
หรือ Smeg Instruments ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำความสะอาด กำจัดเชื้อโรคด้วยความร้อน
นอกจากเรื่องความหลากหลายของสินค้าแล้ว Smeg ยังต้องการขยายไปจับกลุ่มลูกค้าใหม่ด้วย
Smeg จึงร่วมมือกับสถาปนิก และดีไซเนอร์ชื่อดัง หลายๆ คนของอิตาลี
เพื่อออกแบบและปรับรูปลักษณ์ของเครื่องใช้ในห้องครัว
และแล้วในปี 1997 Smeg ก็ได้เปิดตัว ตู้เย็น 50’s Retro รุ่น FAB 
ที่กลายเป็นสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ และเป็นรุ่น ICONIC ของแบรนด์ มาจวบจนถึงปัจจุบันนี้
นอกจากในปี 2012 Smeg ก็ได้เปิดตัวตู้เย็นรุ่น FAB28 Denim Fridge
ซึ่งเป็นตู้เย็นที่คลุมด้วยผ้ายีนส์ ซึ่งไม่เคยมีแบรนด์ไหนทำมาก่อน
และจุดนี้เองที่ทำให้ Smeg โดดเด่นออกมาจากแบรนด์เครื่องครัวอื่น
ซึ่งปัจจุบันแบรนด์ ก็ยังชูเรื่องการดีไซน์ มีการร่วมออกแบบกับดีไซเนอร์อยู่ตลอด
อย่างในปี 2016 Smeg ก็ได้ร่วมมือกับแบรนด์หรูอย่าง Dolce & Gabbana 
โดยการนำแพตเทิร์น อันเป็นเอกลักษณ์ของ Dolce & Gabbana 
มาเป็นลวดลายของเครื่องใช้ของ Smeg
พอเป็นแบบนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าราคาสินค้าจะสูงกว่าแบรนด์ในท้องตลาดอื่น
เพราะ Smeg ไม่ได้ขายฟังก์ชันของเครื่องใช้เพียงอย่างเดียว 
แต่เป็นการขาย “ผลงานศิลปะ” ที่นอกจากจะสวยแล้วยังใช้งานได้ด้วย
และยิ่งประกอบกับ เรื่องราวประวัติศาสตร์อันยาวนานของ Smeg 
ก็ยิ่งทำให้แบรนด์สร้างมูลค่าให้กับสินค้าได้มากขึ้นไปอีก 
โดยในปี 2019 รายได้ของ Smeg อยู่ที่เกือบ 18,000 ล้านบาท 
เรื่องของ Smeg จึงเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
ไม่ว่าเราจะทำแบรนด์อะไร เราก็ต้องหาเรื่องที่เราสามารถโดดเด่นจากคนอื่น
เหมือนกับ Smeg ที่อาจไม่ได้แข่งกับคนอื่น ในด้านความล้ำของเทคโนโลยี
แต่กลับใช้ความคลาสสิก และความเป็นศิลปะ มาเป็นจุดเด่น 
ซึ่งผลสุดท้าย แบรนด์ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ไม่แพ้กัน..
Tag:Smeg
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.