เบื้องหลัง Sharpie ปากกามาร์กเกอร์ลบไม่ออก ที่แม้แต่กาแฟเจ้าดังยังขาดไม่ได้
Business

เบื้องหลัง Sharpie ปากกามาร์กเกอร์ลบไม่ออก ที่แม้แต่กาแฟเจ้าดังยังขาดไม่ได้

26 มิ.ย. 2025
เบื้องหลัง Sharpie ปากกามาร์กเกอร์ลบไม่ออก ที่แม้แต่กาแฟเจ้าดังยังขาดไม่ได้ /โดย ลงทุนเกิร์ล
ชื่อลูกค้าบนแก้ว Starbucksลายเซ็นเซเลบริตีบนเสื้อเส้นทางพายุที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ วาดออกสื่อ
เบื้องหลังงานขีดเขียนทั้งหมดนี้ มีสิ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ การใช้ปากกามาร์กเกอร์ชนิดถาวร ของแบรนด์ที่ชื่อว่า “Sharpie”
โดยในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา บริษัททำยอดขายจากปากกามาร์กเกอร์ทั่วโลก ไปแล้วกว่า 21,000 ล้านด้าม และไม่นานมานี้ CEO ของ Starbucks ยังประกาศตามหาปากกา Sharpie กว่า 2 แสนด้าม
แล้วเรื่องราวของ Sharpie น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
จุดเริ่มต้นของ Sharpie คือช่วงราวศตวรรษก่อน ในปี 1857 โดยบริษัท Sanford Ink Co. ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำผลิตน้ำหมึกและกาว ที่ประสบความสำเร็จในยุคนั้น
กระทั่งปี 1960 ความนิยมของปากกาหมึกซึมเริ่มจางหาย ในขณะที่ปากกามาร์กเกอร์ที่หมึกแห้งไว สามารถเขียนได้บนกระจก โลหะ และพลาสติก กำลังได้รับความนิยมทั้งในอุตสาหกรรมโรงงานและภาคครัวเรือน
แต่ติดปัญหาอยู่ตรงที่ ปากกาที่มีอยู่ในตลาดมักมีหัวที่หนาและหยาบกว่าปากกาธรรมดาทั่วไป บริษัท Sanford Ink Co. จึงเกิดไอเดียผลิตปากกามาร์กเกอร์แบบใหม่ที่ใช้ชื่อว่า “The Sharpie Fine Point”
ปากกาชนิดนี้ มีจุดเด่นที่ดิไซน์หัวแหลมทำจากเส้นใยอะคริลิก และด้ามจับเรียวบางคล้ายด้ามปากกาทั่วไป สามารถเขียนได้เกือบทุกพื้นผิว และที่สำคัญคือ “เขียนแล้วลบไม่ออก”
ต่อมา Sharpie เริ่มได้รับความนิยมในวงกว้าง เมื่อพิธีกรชื่อดังในรายการ Talk Show ของ NBC อย่างคุณ Johnny Carson กล่าวว่าชื่นชอบปากกานี้ในรายการ
จากนั้นจุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัทเกิดขึ้นในปี 1992 เมื่อบริษัท Newell Brands เข้าควบรวมกิจการกับ Sanford Ink Co. พร้อมขยายการจำหน่าย Sharpie ไปวางขายในร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ทั่วอเมริกา
อีกทั้งยังขยายปากกามาร์กเกอร์ และปากการูปแบบอื่น ๆ ให้มีสีสัน และมีขนาดหัวปากกาหลากหลายไซซ์ พร้อมทำการตลาดในกลุ่มคนหลากหลายอาชีพมากมาย เช่น
ในปี 2002 เป็นผู้สนับสนุนวงการนักกีฬาลีกอเมริกันฟุตบอล (NFL) โดยคุณ Terrell Owens เคยดึงปากกา Sharpie ออกจากถุงเท้ามาเซ็นลายเซ็นลงบนบอลในปี 2010 ทำแคมเปญร่วมกับศิลปินและนักออกแบบ โดยคุณ Timothy Goodman ใช้ปากกามาร์กเกอร์ Sharpie วาดภาพจิตรกรรมฝาผนังสำหรับโรงแรม Ace Hotel ในเมืองนิวยอร์ก
นอกจากนี้ Sharpie ยังกลายเป็นเรื่องราวสุดไวรัล เมื่อในปี 2019 ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดอนัล ทรัมป์ เคยใช้ปากกาวาดเส้นทางพายุเฮอริเคนบนแผนออกสื่อ จนกลายเป็นแฮชแท็ก #sharpiegate กระหึ่มโซเชียล
จนแบรนด์น้ำหอม Wicked Good ถึงกับเคยผลิตน้ำหอมกลิ่นเลียนแบบปากกาเมจิกในชื่อ Sharpie เจาะกลุ่มคนที่ชื่นชอบกลิ่นของปากกานี้โดยเฉพาะ
และเมื่อไม่นานมานี้ Sharpie ได้ถูกพูดถึงอีกครั้ง เมื่อ CEO ของ Starbucks อย่างคุณ Brian Niccol ได้ออกมาประกาศว่า “เราจะนำ Sharpie กลับมาให้บาริสตาใช้ และบริษัทต้องใช้ประมาณ 200,000 ด้าม”
เนื่องจากตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัท Starbucks กำหนดมาตรการไม่ให้บาริสตาในสหรัฐฯ เขียนชื่อลูกค้าลงบนแก้ว และเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย สิ่งนี้ก็ยังไม่ได้ถูกนำกลับมา
แต่คุณ Niccol เล็งเห็นว่าการเขียนชื่อหรือข้อความสั้น ๆ บนแก้วเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ เป็นเหมือนซิกเนเชอร์ของ Starbucks ที่จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้าได้..
มาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่า Sharpie เป็นแบรนด์ที่เล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาสินค้าเดิมที่มีอยู่ในตลาด ให้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้คนทุกสายอาชีพ
จากเดิมที่มีการใช้ปากกาถาวรนี้แค่ในกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น กลายเป็นไอเทมสุดไอคอนิกที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจยักษ์ใหญ่ระดับโลก และยังเป็นเรื่องราวในความทรงจำของผู้คนที่เขียนไว้ยาวนานกว่า 168 ปี..
References :
Fastcompany, เว็บไซต์ของแบรนด์
© 2025 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.