คุ้มหรือไม่ ? จ่ายค่า Subscription หลายร้อยต่อเดือน ให้ WHOOP สายรัดข้อมืออัจฉริยะ ช่วยดูแลสุขภาพ /โดย ลงทุนเกิร์ล
ช่วงนี้หลายคนคงเห็น เหล่าคนดังนิยมใส่สายรัดข้อมือแบรนด์ WHOOP ทั้งในไทยและต่างประเทศ จนกลายเป็นหนึ่งในไอเทมที่ต้องมี

ซึ่ง WHOOP คืออุปกรณ์ติดตามสุขภาพและการออกกำลังกาย เพื่อให้ผู้ที่สวมใส่เข้าใจสภาพร่างกายของตัวเองอย่างลึกซึ้งในหลาย ๆ มิติ

โดยมีค่า Subscription รายเดือนอยู่ที่ประมาณ 500-900 บาท แลกกับการเข้าถึงข้อมูล คำแนะนำ และการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพเชิงลึกแบบเรียลไทม์ จนเหมือนมี “โคชส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมง”

WHOOP มีอะไรน่าสนใจบ้าง ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง

WHOOP มีลักษณะเป็นสายรัดข้อมือธรรมดา ๆ ไม่มีหน้าจอแสดงผล จึงสามารถใส่ติดตัวได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน

ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มใช้งาน WHOOP จะเก็บข้อมูลสุขภาพเบื้องต้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น คุณภาพการนอน ความเครียดในร่างกาย ระดับการฟื้นตัว ความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ และสุขภาพหัวใจโดยรวม

และหลังจากใช้งานต่อเนื่องประมาณ 1 เดือน WHOOP จะสามารถเรียนรู้ลักษณะเฉพาะของร่างกายเราได้อย่างแม่นยำ และสร้างค่าพื้นฐานส่วนบุคคลขึ้นมา เพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด

เช่น ควรเข้านอนกี่โมง ออกกำลังกายหนักแค่ไหน หรือวันไหนควรพัก เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีที่สุด

โดย WHOOP ได้ร่วมมือกับ OpenAI นำ GPT‑4 มาใช้ในระบบคำแนะนำแบบโต้ตอบ ที่ชื่อว่า “WHOOP Coach” โคชส่วนตัวแบบ AI ที่สามารถตอบคำถามและให้คำแนะนำด้านสุขภาพและการออกกำลังกายเฉพาะบุคคล ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม แม้ WHOOP จะไม่มีหน้าจอแสดงผล แต่มันก็ถูกออกแบบมาให้ใช้งานคู่กับแอปพลิเคชัน WHOOP บนโทรศัพท์มือถือ

ซึ่งมีการแสดงข้อมูลและคำแนะนำทั้งหมดในรูปแบบเข้าใจง่าย พร้อมกราฟและรายงานรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามสุขภาพของตนเองได้ตลอดเวลา

นอกจากนี้ สาว ๆ ยังสามารถติดตามรอบเดือนและบันทึกอาการต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ที่มีผลต่อการนอน การฟื้นตัว และการออกกำลังกาย ได้อีกด้วย

หรือใครที่กำลังตั้งครรภ์ ก็มีคำแนะนำให้ เพื่อช่วยปรับการนอน การดื่มน้ำ และอื่น ๆ ให้เหมาะสมที่สุด

เรียกได้ว่า WHOOP เป็นสายรัดข้อมืออัจฉริยะ ที่ไม่ได้แค่เก็บข้อมูลและนำมารายงานเฉย ๆ แต่ยังมี AI มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียด พร้อมให้คำแนะนำที่ปรับตามร่างกายของแต่ละคนแบบเรียลไทม์

ที่น่าสนใจก็คือ ตัวอุปกรณ์ของ WHOOP ไม่ได้มีขายขาด แต่ต้องสมัครสมาชิก (Subscription) เท่านั้น ถึงจะสามารถใช้ได้

ซึ่งนี่ถือเป็นรูปแบบการให้บริการที่แตกต่างจากอุปกรณ์สุขภาพทั่วไป ที่มักเสียเงินครั้งเดียวจบ และแน่นอนว่าเรื่องนี้อาจทำให้หลายคนลังเลว่าคุ้มค่าหรือไม่

โดยค่า Subscription แบบรายปี จะมีให้เลือก 3 รูปแบบ ขึ้นอยู่กับแผน

WHOOP One ปีละ 6,400 บาท เฉลี่ย 530 บาท/เดือน
เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน เน้นการติดตามสุขภาพพื้นฐาน เช่น การนอน การฟื้นตัว และระดับความเครียดWHOOP Peak ปีละ 7,700 บาท เฉลี่ย 640 บาท/เดือน
มีทุกอย่างเหมือน WHOOP One แต่เพิ่มเติมฟีเชอร์ที่ประเมินว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างไรบ้าง โดยคำนวณจากข้อมูลสุขภาพหลายอย่างรวมกัน

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลสุขภาพเชิงลึกเพิ่มเติม เช่น การวิเคราะห์ระดับความเครียด อายุทางสุขภาพ (Healthspan)

WHOOP Life ปีละ 11,600 บาท เฉลี่ย 960 บาท/เดือน
มีทุกอย่างเหมือน WHOOP Peak แต่มีฟีเชอร์ในระดับการแพทย์เพิ่มเติม เช่น ตรวจคลื่นหัวใจ, การแจ้งเตือนภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (AFib) และการประเมินค่าความดันโลหิต (เวอร์ชันทดลอง) โดยใช้อัลกอริทึมและเซ็นเซอร์แสง โดยข้อมูลที่ได้มาจากการประเมิน ไม่ใช่การวัดความดันโลหิตโดยตรง

ส่วนคำถามที่ว่าค่า Subscription จะคุ้มค่าหรือไม่ ?

คำตอบก็ขึ้นอยู่กับว่าเราคาดหวังอะไร จากอุปกรณ์ที่สวมติดตัวอยู่บนข้อมือทุกวัน

หากกำลังมองหาแค่เครื่องนับก้าว หรืออุปกรณ์วัดสุขภาพทั่วไป WHOOP อาจไม่ใช่คำตอบที่เหมาะสมที่สุด
เพราะสมาร์ตวอตช์สมัยนี้ ซื้อขายหลักพันบาท ก็ทำได้ดีแล้ว

แต่หากต้องการคู่มือสุขภาพเฉพาะบุคคล ที่เข้าใจร่างกายอย่างลึกซึ้ง พร้อมคำแนะนำที่ปรับให้เหมาะกับตัวเองในทุกวัน อย่างเช่น นักกีฬา หรือคนที่โฟกัสเรื่องสุขภาพขั้นสูง WHOOP ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าลองและน่าสนใจไม่น้อย

เพราะหากไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ข้อดีของระบบ Subscription ก็ให้เรา Unsubscribe เหมือนกับ Netflix, Spotify หรือ YouTube Premium ที่ยกเลิกได้ตลอดเวลา..

Reference :

WHOOP