รู้จัก Haat ฟูดดิลิเวอรีรายได้พันล้าน ส่งอาหารถึงมือลูกค้าได้ แม้ไม่มี “ที่อยู่บ้าน”
Business

รู้จัก Haat ฟูดดิลิเวอรีรายได้พันล้าน ส่งอาหารถึงมือลูกค้าได้ แม้ไม่มี “ที่อยู่บ้าน”

30 ต.ค. 2025
รู้จัก Haat ฟูดดิลิเวอรีรายได้พันล้าน ส่งอาหารถึงมือลูกค้าได้ แม้ไม่มี “ที่อยู่บ้าน” /โดย ลงทุนเกิร์ล 
โดยทั่วไปแล้วเมื่อเรากดสั่งอาหารในแอปพลิเคชันฟูดดิลิเวอรี สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ “ที่อยู่อาศัย” เพราะถ้าไม่มีที่อยู่ หรือบอกไม่ชัดเจน ไรเดอร์ก็คงหาทางมาส่งไม่ถูกแน่ ๆ
แต่รู้หรือไม่ว่า ที่ Umm al-Fahm เมืองหนึ่งในประเทศอิสราเอล ผู้คนต่างไม่มีรายละเอียดอย่าง เลขที่บ้าน หรือแม้กระทั่งชื่อถนน โดยคนในพื้นที่มักจดจำลักษณะบ้าน และสิ่งของในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อบอกทาง จนเรื่องนี้กลายเป็นปัญหาการจัดส่งมาอย่างยาวนาน 
อย่างไรก็ตาม Haat แอปพลิเคชันฟูดดิลิเวอรี เข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าว จนสามารถจัดส่งอาหารขณะที่ยังร้อน ๆ ให้ถึงมือลูกค้าได้ทันเวลา อีกทั้งยังทำรายได้ราว 8,200 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง 5 ปี 
แล้วเรื่องราวของ Haat น่าสนใจอย่างไร ? 
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง 
ก่อนอื่นต้องขออธิบายเหตุผลที่ผู้คนเมือง Umm al-Fahm ในประเทศอิสราเอล ไม่มีรายละเอียดที่อยู่อาศัย 
สาเหตุหลักมาจาก การขาดงบประมาณ และความล่าช้าในการอนุมัติจากหน่วยงานของรัฐบาล 
อีกทั้งผู้คนในเมืองเป็นชาวปาเลสไตน์ ทำให้ผู้คนบางกลุ่มมองว่า ความขัดแย้งระหว่างสองเชื้อชาติที่กินระยะเวลานาน อาจเป็นเหตุผลเบื้องหลังที่หน่วยงานของรัฐ ไม่อนุมัติชื่อถนนที่ตั้งตามบุคคลสำคัญของชาวปาเลสไตน์
ผลที่ตามมาคือ จดหมายมากกว่า 1 ใน 3 ไม่เคยถูกส่งถึงปลายทาง, เช็คสวัสดิการสูญหาย และแอปพลิเคชันนำทาง GPS ใช้งานไม่ได้ จนถึงขั้นที่บริษัทขนส่งเอกชนต้องนัดพบคนท้องถิ่นเพื่อให้นำทางเข้าไป 
พอเรื่องเป็นแบบนี้หลายคนคงคิดไม่ถึงว่า บริษัทฟูดดิลิเวอรีจะเข้ามาทำธุรกิจในที่แห่งนี้ได้อย่างไร 
หากมองภาพรวมของธุรกิจฟูดดิลิเวอรีที่ครองตลาดในประเทศอิสราเอล อันดับแรกคือ Wolt บริษัทสัญชาติฟินแลนด์ที่ถูก DoorDash เข้าซื้อกิจการเมื่อ 3 ปีก่อน
อย่างไรก็ตาม Wolt ยังไม่สามารถให้บริการในเมือง Umm al-Fahm เพราะยังแก้ปัญหาเรื่องไม่มีรายละเอียดที่อยู่ของคนในเมืองไม่ได้
แต่คนที่เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือคุณ Hasan Abasi เขาเกิดในเมือง Umm al-Fahm และเคยมีประสบการณ์ทำงานที่ Google และ Intel ในยุโรปมาก่อน 
เมื่อคุณ Abasi กลับมาบ้านเกิด เขาพบว่าการสั่งอาหารให้มาส่งที่บ้านเป็นเรื่องซับซ้อน เพราะเขาต้องเป็นผู้ติดต่อทุกฝ่ายตั้งแต่ร้านค้า คนขับรถ และบอกทางมาบ้านด้วยตัวเอง ซึ่งใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง อาหารที่สั่งก็ยังมาไม่ถึง
นอกจากปัญหาไม่มีรายละเอียดที่อยู่แล้ว คุณ Abasi ยังพบว่าผู้คนในเมืองยังใช้เงินสดใช้จ่าย ร้านอาหารไม่มีเมนู และบางพื้นที่ไม่มี WiFi ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นปัญหาระดับโครงสร้างพื้นฐานของเมือง  
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของไอเดียก่อตั้งบริษัทสตาร์ตอัป “Haat” และเริ่มใช้งานเบื้องต้นช่วงปลายปี 2019 เพื่อแก้ปัญหาหลัก 3 ข้อ
ข้อแรกคือ การปรับปรุงแผนที่ให้แม่นยำมากขึ้น
แอปพลิเคชัน Haat ใช้งานเหมือนฟูดดิลิเวอรีโดยทั่วไป โดยลูกค้าสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อใช้สั่งซื้อ ติดตามการจัดส่ง และอัปเดตสถานะคำสั่งซื้อแบบเรียลไทม์
แต่สิ่งที่ต่างจากแอปพลิเคชันอื่น ๆ คือ ทีมงานพัฒนาเทคโนโลยีโดยใช้อัลกอริทึม AI/ML หรือการให้ระบบจดจำ เรียนรู้ และวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าระบบด้วยตัวเอง 
ยกตัวอย่างข้อมูลเช่น เส้นทางการจัดส่งของคนขับคนก่อนหน้า, การติดตามแช็ตลูกค้า, การจดจำป้ายในท้องถนนต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ Haat ปรับแก้ตำแหน่ง GPS และเรียนรู้ถนนใหม่ที่ไม่มีอยู่ในแอปพลิเคชันแผนที่มาก่อน 
ถัดมาคือ รองรับการชำระเงินสด และ Digital Wallet
ลูกค้าของ Haat กว่า 80% ไม่ใช้บัตรเครดิต หรือไม่มีแม้แต่บัญชีธนาคาร เนื่องจากผู้คนในเมืองส่วนมากเป็นแรงงานที่รับค่าจ้างเป็นเงินสด หรือเป็นชาวมุสลิมที่ต้องหลีกเลี่ยงเครื่องมือทางการเงินที่ให้ดอกเบี้ย 
ทีมงานจึงพัฒนาแอปพลิเคชันให้รองรับทั้งเงินสด และ Digital Wallet รวมถึงเปิดช่องให้ผู้ใช้สามารถเติมเงินในกระเป๋าดิจิทัล เพื่อใช้จ่ายกับแพลตฟอร์มอื่น เช่น Amazon.com, IKEA, Netflix ได้มากขึ้นด้วย
สุดท้ายคือ สร้างความเท่าเทียมทางวัฒนธรรม 
แม้เมือง Umm al-Fahm มีรากฝังลึกจากความขัดแย้งทางเชื้อชาติ แต่ Haat เข้ามาเป็นตัวกลางที่มีเป้าหมายให้ผู้คนที่ไม่ว่าจะเป็นชาวอาหรับ หรือชาวยิว ก็สามารถใช้แอปพลิเคชันเพื่อสั่งซื้ออาหารได้ 
ซึ่งคุณ Abasi มองว่าอาหารเป็นความต้องการพื้นฐานที่ผู้คนทุกคนควรเข้าถึงได้ง่าย และเขายังสนับสนุนความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยภายในทีมงานของ Haat มีทั้งชาวคริสเตียน, ชาวมุสลิม, ดรูซ และยิว 
นอกจากนี้ ทีมงานยังช่วยธุรกิจเล็ก ๆ ติดตั้งคอมพิวเตอร์ เชื่อมต่อ WiFi หรือแม้กระทั่งเป็นที่ปรึกษาช่วยวางแผนการเงิน ซึ่งการพัฒนาและช่วยเหลือชุมชน ทำให้ Haat เป็นเสมือนทางเลือกของผู้คนทุกกลุ่ม 
ปัจจุบัน Haat เติบโตอย่างรวดเร็ว จากร้านอาหาร 9 ร้าน เป็น 3,000 ร้าน จากพนักงานประจำ 4 คน เป็น 300 คน และจากไรเดอร์ 5 คน เป็น 5,000 คน ซึ่งล่าสุดระดมทุนได้ราว 590 ล้านบาท จากนักลงทุนรายใหญ่ของอิสราเอล
อีกทั้งมีแผนขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น ยุโรป และแอฟริกา โดยเฉพาะพื้นที่ชายขอบที่มีลักษณะเหมือนกับชุมชนใน Umm al-Fahm หรือชุมชนที่ขาดโครงสร้างพื้นฐานของเมือง
อ่านมาถึงตรงนี้จะเห็นว่า Haat คือภาพสะท้อนของธุรกิจที่เกิดจากการเข้าใจปัญหาจริง และแก้ Pain Point ของผู้คนในพื้นที่ได้อย่างตรงจุด ที่แม้แต่บริษัทคู่แข่งยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ 
ซึ่งในบางครั้งธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ อาจมาจากการเล็งเห็นปัญหาในพื้นที่ที่เราคุ้นเคย เพราะคนนอกก็ไม่อาจเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ได้เท่ากับคนในพื้นที่นั้น ๆ เอง.. 
References :  - Bloomberg, F2VC, Microsoft for Startups, Infobip, Haaretz
© 2025 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.