
Business
<อัปเดต> สินค้าแบรนด์หรูซบเซา LVMH ประกาศกำไรทั้งปี ลดลงกว่า 19% จากปีก่อนหน้า
29 ม.ค. 2025
<อัปเดต> สินค้าแบรนด์หรูซบเซา LVMH ประกาศกำไรทั้งปี ลดลงกว่า 19% จากปีก่อนหน้า
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา บริษัท LVMH ได้รายงานผลประกอบการปี 2024
รายได้ 2.98 ล้านล้านบาท ลดลง 2%
กำไรสุทธิ 4.56 แสนล้านบาท ลดลง 19%
กำไรสุทธิ 4.56 แสนล้านบาท ลดลง 19%
ในปีที่ผ่านมารายได้ของ LVMH ลดลงทุกกลุ่มธุรกิจ ยกเว้นกลุ่มน้ำหอมและเครื่องสำอาง และกลุ่มร้านค้าปลีกและธุรกิจอื่น
หากเรามาดูที่รายได้ของกลุ่มธุรกิจที่เติบโตน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
อันดับ 1 คือ กลุ่มธุรกิจสินค้าไวน์และสุรา เติบโตลดลง 11% ทำรายได้ 2.06 แสนล้านบาท
ทาง LVMH ระบุว่าอัตราการเติบโตที่ลดลงเป็นผลมาจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน ซึ่งแบรนด์แชมเปญของ LVMH ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดของการส่งออกได้มากกว่า 22%
อันดับ 2 คือ กลุ่มสินค้าแฟชั่นและเครื่องหนัง เติบโตลดลง 3% ทำรายได้ 1.45 ล้านล้านบาท
แม้รายได้ในกลุ่มธุรกิจนี้จะลดลงแต่ในปีที่ผ่านมาทาง LVMH ยังคงมองเห็นโอกาสจากการที่แบรนด์ Louis Vuitton และ Christian Dior ได้รับการพูดถึงในการแข่งขันโอลิมปิก ณ กรุงปารีส
อันดับ 3 คือ กลุ่มนาฬิกาและเครื่องประดับ เติบโตลดลง 3% ทำรายได้ 3.72 แสนล้านบาท
สำหรับรายได้และกำไรที่ลดลงในกลุ่มธุรกิจนาฬิกาและเครื่องประดับ LVMH ระบุว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการทุ่มงบลงทุนในการปรับปรุงสาขา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือโปรเจกต์ปรับปรุง ‘The Landmark’ แฟลกชิปสตอร์ของ Tiffany & Co. ในนครนิวยอร์ก
อันดับ 4 คือ กลุ่มร้านค้าปลีกและธุรกิจอื่น เติบโตขึ้น 2% ทำรายได้ 6.43 แสนล้านบาท
โดยมี Sephora เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานโดดเด่นด้วยการเติบโตทั้งรายได้และกำไร ตอกย้ำตำแหน่งผู้ค้าปลีกเครื่องสำอางและน้ำหอมชั้นนำของโลกด้วยส่วนแบ่งตลาดที่ยังคงเพิ่มขึ้น
อันดับ 5 คือ กลุ่มน้ำหอมและเครื่องสำอาง เติบโตขึ้น 2% ทำรายได้ 2.96 แสนล้านบาท
โดยมี Christian Dior เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานโดดเด่นในกลุ่มธุรกิจนี้ เนื่องจากน้ำหอม Dior Sauvage ยังคงมีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่ง ขณะที่น้ำหอม Miss Dior Parfum ตัวใหม่ก็ได้รับผลตอบรับที่น่าพอใจ
ทีนี้ หากเรามาดูยอดขายตามภูมิภาค จะพบว่า
สัดส่วนยอดขายในญี่ปุ่นมีการเติบโตโดดเด่นราว 18% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งมาจากผลกระทบของการอ่อนค่าของสกุลเงินเยน
ขณะที่ยอดขายในภูมิภาคอื่น ๆ ค่อนข้างคงที่ ยกเว้นเอเชียที่ไม่รวมญี่ปุ่นลดลง 12.5%
อย่างไรก็ตามสำหรับค่าใช้จ่ายทั่วไป และค่าบริหารรวมราว 2.19 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อนหน้า ซึ่งการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจาก ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเป็นพันธมิตรกับโอลิมปิกปารีส 2024
โดย LVMH มองว่าในปี 2025 บริษัทมีแนวทางในการเฝ้าระวังด้านการบริหารต้นทุน และมุ่งเน้นไปที่การสร้างความน่าดึงดูดของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก
เป็นที่น่าจับตาต่อเนื่องหลังมีข่าว LVMH ปรับพอร์ตโดยการขายหุ้น Stella McCartney คืนให้กับผู้ก่อตั้งแบรนด์ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการขายหุ้นแบรนด์ Off-White™ ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ท่ามกลางการชะลอตัวของอุตสาหกรรมแบรนด์หรู และความท้าทายของแนวทาง LVMH จะเป็นอย่างไร ก็คงต้องติดตามกันต่อไป..