
Business
อัปเดต 5 เทรนด์ความงาม ตามพฤติกรรมผู้บริโภค Gen Z ประจำปี 2025
11 ส.ค. 2025
อัปเดต 5 เทรนด์ความงาม ตามพฤติกรรมผู้บริโภค Gen Z ประจำปี 2025 /โดย ลงทุนเกิร์ล
รู้หรือไม่ว่า คนที่เกิดระหว่างปี 1997-2012 หรือกลุ่ม Gen Z คิดเป็นเกือบ 25% ของประชากรทั่วโลก และมีแนวโน้มจะกลายเป็นกลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดเท่าที่เคยมีมา
อีกทั้งบริษัทวิจัยทางการตลาด NIQ ยังคาดว่า กำลังซื้อของคนกลุ่มนี้จะเติบโตประมาณ 390 ล้านล้านบาท ภายในปี 2030
จึงไม่แปลกใจที่ ธุรกิจหลากหลายประเภท รวมถึงธุรกิจความงาม ยังคงให้ความสำคัญและโฟกัสพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มนี้เป็นหลัก
แล้วธุรกิจความงามจะตามทันพฤติกรรมการซื้อของ Gen Z ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้อย่างไร ?
ลงทุนเกิร์ลสรุป 5 เทรนด์ความงามที่กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่น เพื่อหวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้ผู้ประกอบการได้นำไปปรับใช้
1 การใช้เรื่องเพศในเชิงสร้างสรรค์
หากย้อนกลับไปในอดีต การหยิบเรื่องเพศมาใช้ในเชิงการตลาดเป็นเรื่องยาก หากแบรนด์สื่อสารไม่ดี อาจนำไปสู่ประเด็นการถกเถียงเชิงลบในสังคม
อย่างไรก็ตามการตั้งชื่อสินค้าความงามแบบเดิม ๆ ที่เน้นเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์ เช่น Airbrushed หรือ Glossy ไม่ดึงดูดความสนใจของ Gen Z มากเท่าที่ควร
ปัจจุบันแบรนด์ความงามในตลาด มักใช้เรื่องเพศในการสร้างความรู้สึกตลกขบขัน เพื่อสร้างความแตกต่าง และเป็นที่จดจำ เช่น การตั้งชื่อเฉดสี, ดิไซน์บรรจุภัณฑ์ที่ดูเย้ายวน และการสื่อสารทางการตลาดที่ดูไม่เป็นทางการจนเกินไป
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพเช่น แบรนด์ NARS ที่มีชื่อเสียงเรื่องการตั้งชื่อเฉดสีที่สื่อถึงเรื่องเพศ เช่น บลัชสี Orgasm, ลิปสติกสี Deep Throat และมาสคารารุ่น Climax
2 แบรนด์ความงามจากเซเลบริตี
แบรนด์ความงามที่มีเซเลบริตีเป็นเจ้าของ กำลังเป็นผู้เล่นสำคัญของตลาดความงาม ด้วยเสน่ห์จากตัวตนและความเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของแบรนด์ ทำให้สามารถสร้างความแตกต่างจากแบรนด์ดั้งเดิมที่เคยครองตลาด
โดยในปีนี้เราจะเห็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ เช่น Fenty Beauty, Rhode และ Rare Beauty
3 Little Treats Economy
Little Treats Economy คือ แนวโน้มที่ผู้บริโภคเลือกซื้อของแบรนด์ลักชัวรีในรูปแบบชิ้นเล็ก ๆ ในราคาที่เข้าถึงได้ เช่น ลิปออยล์ แผ่นมาสก์ หรือเครื่องสำอางขนาดพกพา
ซึ่งเทรนด์นี้คล้ายกับ Lipstick Effect ที่สาว ๆ มักซื้อลิปสติกที่มีราคาถูกกว่าการซื้อของลักชัวรีชิ้นใหญ่ เพื่อความสบายใจในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน
โดย Mintel บริษัทวิจัยตลาดระดับโลก รายงานว่า กลุ่มคนอายุ 18-24 ปี ราว 45% มองว่า การซื้อสินค้าความงามชิ้นเล็ก ๆ เป็นการให้รางวัลกับตัวเอง
4 ส่วนผสมจากไขมันวัว
ไขมันวัว (Beef Tallow) คือ ไขมันแบบอิ่มตัวจากวัว คล้ายกับไขมันจากเนย หรือมันหมู
ซึ่งผู้คนในยุคสมัยก่อนใช้ไขมันวัวเป็นบาล์มทาบนใบหน้า เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำจากผิว โดยมีคุณประโยชน์จากวิตามิน A, D, E และ K
ก่อนที่วงการสกินแคร์จะมีวิวัฒนาการเปลี่ยนไปใช้ไขมันจากพืช หรือมอยส์เชอไรเซอร์ที่เสริมความชุ่มชื้นทั้งออยล์ และน้ำ ซึ่งอ่อนโยนกับผิวมากกว่าการใช้ไขมันวัวอย่างเดียว
แต่เมื่อไม่นานมานี้ Gen Z ได้ปลุกกระแสการดูแลผิวด้วยไขมันวัวอีกครั้งในโซเชียลมีเดีย
แม้ว่าจะยังเป็นประเด็นถกเถียงถึงเรื่องความปลอดภัยจากกลุ่มคนที่นำไขมันวัวมา DIY ทำเอง และเรื่องประสิทธิภาพที่แท้จริง
แต่ในตลาดความงามก็เริ่มตอบรับกระแสดังกล่าว และเริ่มมีแบรนด์ที่พัฒนาสูตรให้ตอบโจทย์การใช้ไขมันวัวเป็นส่วนผสมหลักในสกินแคร์อย่างเช่น Primally Pure, Lady May และ Ancestral Cosmetics
5 แบรนด์ความงามแบบ Multi-use Products ในราคาที่เข้าถึงได้
รายงานล่าสุดจาก Revieve พบว่ากลุ่ม Gen Z กว่า 72% กำลังมองหาผลิตภัณฑ์แบบ Multi-use Products หรือ การใช้ผลิตภัณฑ์ความงามเพียงชิ้นเดียว แต่ครอบคลุมคุณสมบัติหลากหลาย ในราคาที่เข้าถึงได้
ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ที่รวมเรื่องการรักษาสิว การให้ความชุ่มชื้น และการดูแลรูขุมขนไว้ด้วยกัน โดยผลิตภัณฑ์ในลักษณะนี้ช่วยลดขั้นตอนการใช้สกินแคร์รูทีน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ จากเดิมทีที่อาจต้องใช้สกินแคร์ถึง 3 ชิ้นด้วยกัน
ทั้งหมดนี้ทำให้เราเห็นว่า ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดที่ดุเดือด การติดตามเทรนด์กลุ่มผู้บริโภค Gen Z เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบธุรกิจความงามไม่ควรละเลย
เพราะแบรนด์ความงามที่สามารถเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค ปรับตัวได้เร็ว และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้ในระยะยาว อาจเป็นผู้ชนะที่สามารถครอบครองอำนาจการซื้อของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีมูลค่ากว่าล้านล้านบาทได้ในอนาคต..
References :
Cosmeticsbusiness, Theguardian, Medium