DAISE Beauty แบรนด์ความงาม ที่ครองใจวัยรุ่น Gen Alpha และ Gen Z ได้ในเวลาไม่กี่เดือน /โดย ลงทุนเกิร์ล

ถ้าพูดถึงกลุ่มผู้บริโภคที่หลายแบรนด์จับตามองในตอนนี้ ก็คงหนีไม่พ้น Gen Alpha และ Gen Z เพราะพวกเขาคือพลังขับเคลื่อนสำคัญของตลาดความงามยุคใหม่

หนึ่งในแบรนด์ที่กำลังมาแรง ก็คือ DAISE Beauty แบรนด์น้ำหอมและบอดีแคร์ที่ออกตัวว่าโฟกัสสินค้าสำหรับ Gen Alpha และ Gen Z

หลังจากเปิดตัวครั้งแรกที่ Ulta Beauty ร้านค้าปลีกเครื่องสำอางรายใหญ่ในสหรัฐฯ ไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว DAISE Beauty ก็ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย โดยสร้างปรากฏการณ์ขายได้มากถึงวันละ 25,000 ชิ้น

อีกทั้งผู้ก่อตั้งยังคาดการณ์ว่า DAISE Beauty จะกลายเป็นแบรนด์มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์​สหรัฐ หรือประมาณ 3,300 ล้านบาท

ว่าแต่แบรนด์ DAISE Beauty มีความน่าสนใจอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง

DAISE Beauty คือแบรนด์ความงาม ผลงานล่าสุดของคุณ Jaimee Lupton นักธุรกิจหญิงชาวนิวซีแลนด์ผู้รักในการปั้นธุรกิจ หนึ่งในแบรนด์ที่โดดเด่นที่สุดของเธอคือ MONDAY Haircare

แบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผมที่สร้างชื่อจากการเป็นแชมพูลักชัวรีที่เข้าถึงง่าย หลังจากเห็นช่องว่างในตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผมที่เธอมองว่ายังไม่มีแบรนด์ทำได้ตอบโจทย์ทั้ง Gen Z และ Millennials

และภายในเวลาเพียง 4 ปี MONDAY Haircare ก็สามารถทำยอดขายทะลุ 9,800 ล้านบาท ได้สำเร็จในปี 2024

ซึ่งล่าสุดคุณ Lupton ก็ได้พบโอกาสใหม่ซึ่งก็คือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและน้ำหอมแบรนด์ DAISE Beauty ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี 2024 ที่ผ่านมา

โดยจุดเริ่มต้นมาจากการที่คุณ Lupton เห็นว่าทุกวันนี้กลุ่มผู้บริโภค Gen Alpha และ Gen Z ตอนปลายหันมาให้ความสนใจแบรนด์ความงามกันมากขึ้น

แต่ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตลาดกลับไม่ได้ทำมาเพื่อโฟกัสคนกลุ่มนี้ ทำให้ต้องไปเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตมาสำหรับผู้ใหญ่ หรือไม่ก็ต้องใช้สินค้าสำหรับเด็กไปเลย

คุณ Lupton เลยอยากทำสินค้าที่ดูน่าใช้ เหมาะสมกับวัย และเข้าใจความซับซ้อนของกลุ่มลูกค้าที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น โดยให้ความสำคัญเรื่องหลัก ๆ ได้แก่

แพ็กเกจจิงสวยงาม สามารถแชร์ต่อได้

คุณ Lupton มองว่าการทำสินค้าให้กับคน Gen นี้ นอกจากตัวสินค้าที่ต้องมีคุณภาพแล้ว แพ็กเกจจิงก็ต้องถูกออกแบบมาให้มีดิไซน์โดดเด่น พร้อมกิมมิกเพิ่มความสนุก

ที่สำคัญคือสินค้าต้องเป็นพร็อปถ่ายรูปได้ ตามสไตล์ของวัยรุ่น Gen Z และ Gen Alpha ที่ชอบแบ่งปันเรื่องราวบนโซเชียลมีเดีย

สินค้าของ DAISE Beauty จึงถูกออกแบบภายใต้คอนเซปต์ที่ดูสนุกสนานแต่ต้องไม่ดูเด็กเกินไป จนกลายเป็นลายเซ็นของแบรนด์ที่ทำสินค้าออกมาได้น่ารักสุด ๆ ตั้งแต่ Body Mist รูปทรงดอกไม้สีสันสดใส

บาทบอมบ์ลายดอกเดซี่ จับมือกับ Mini Brands แถมของเล่นสุดน่ารัก ที่เมื่อนำไปละลายน้ำก็จะเจอสินค้าของแบรนด์ในไซซ์มินิให้เก็บสะสมถึง 12 แบบ

และกิมมิกต่าง ๆ ที่แบรนด์พยายามใส่เข้ามานี้เองที่เป็นตัวดึงดูดให้ลูกค้าอยากลองใช้ และมากกว่านั้นคือการพูดถึงแบรนด์ในรูปแบบของคอนเทนต์ที่ยิ่งช่วยให้ถูกแชร์ต่อไปได้เรื่อย ๆ

เน้นการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย

DAISE Beauty เลือกใช้กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับข้อมูลพฤติกรรมของ Gen Z และ Gen Alpha ที่มองว่าโซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่เรื่องความบันเทิง แต่เป็นพื้นที่ในการค้นพบสินค้าหรือแบรนด์ใหม่ ๆ

ทางแบรนด์จึงให้ความสำคัญกับ Digital Marketing โดยเน้นทำคอนเทนต์ล้อไปกับเทรนด์แต่ละช่วง รวมถึงโปรโมตผ่านครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์ม

และเมื่อจับจุดในการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ได้แล้วก็ต้องทำให้สินค้าเข้าถึงได้ง่ายด้วย ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ DAISE Beauty จึงมักจะพบเห็นได้ตามเชนค้าปลีกเจ้าดังในหลายประเทศ

ตั้งราคาเหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย

ราคาถือเป็นปัจจัยสำคัญในการทำสินค้าสำหรับกลุ่มผู้บริโภคอายุน้อย ราคาสินค้าของ DAISE Beauty ก็ถือว่าไม่สูงมากถ้าเทียบกับแบรนด์ความงามทั่วไป

ตัวอย่างการตั้งราคาของแบรนด์ ​เช่น ลิปบาล์มราคาประมาณ 130 บาท ขณะที่สินค้าประเภทน้ำหอม โฟมอาบน้ำ สเปรย์ดับกลิ่นตัวจะอยู่ที่ประมาณ 230 บาท เพราะตั้งใจจะให้เข้าถึงง่าย สามารถหยิบติดไปกับของใช้ส่วนตัวได้แบบไม่ต้องคิดหนัก

นอกจากนี้ สินค้าทุกตัวของแบรนด์ยังถูกออกแบบมาให้เหมาะกับผู้บริโภคอายุน้อย โดยให้ความสำคัญกับการใช้ส่วนผสมที่อ่อนโยนกับผิว

ทั้งหมดนี้คือ กลยุทธ์สำคัญที่คุณ Lupton ใช้ในการปลุกปั้นแบรนด์ DAISE Beauty จนสามารถครองใจกลุ่มลูกค้าอายุน้อย และกลายเป็นแบรนด์ความงามที่ได้รับความสนใจตั้งแต่ช่วงแรกที่เปิดตัว

และยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยทางแบรนด์ระบุว่าในช่วงเวลาเพียง 5 เดือนหลังเปิดตัว DAISE Beauty ได้รับความนิยมชนิดที่ว่าสามารถขายสินค้าได้ 1 ชิ้น ในทุก ๆ 5 วินาที เลยทีเดียว

DAISE Beauty จึงเป็นอีกหนึ่งเคสตัวอย่างที่น่าสนใจของคนทำธุรกิจที่อยากสร้างแบรนด์ในตลาดวัยรุ่นยุคดิจิทัล..

References :

BeautyMatter, eMarketer, Fashionista, Forbes Australia