House of Guinness ครอบครัวที่ขึ้นชื่อว่า รวยและมีอิทธิพล สุดในไอร์แลนด์ ปัจจุบันเป็นอย่างไร ?
Business

House of Guinness ครอบครัวที่ขึ้นชื่อว่า รวยและมีอิทธิพล สุดในไอร์แลนด์ ปัจจุบันเป็นอย่างไร ?

2 ต.ค. 2025
House of Guinness ครอบครัวที่ขึ้นชื่อว่า รวยและมีอิทธิพล สุดในไอร์แลนด์ ปัจจุบันเป็นอย่างไร ? /โดย ลงทุนเกิร์ล
หนึ่งในซีรีส์มาแรงในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้น “House of Guinness” ซีรีส์ดรามาที่ได้แรงบันดาลใจจากชีวิตจริงของตระกูล Guinness
ผู้ปลุกปั้นแบรนด์เบียร์ดำที่เป็นสัญลักษณ์ของไอร์แลนด์ และยังคงครองใจสายดื่มทั่วโลกมานานกว่า 200 ปี
ซึ่งใครที่ดูซีรีส์แล้วเกิดสงสัยว่า เรื่องราวของครอบครัว Guinness ในโลกความจริงเป็นอย่างไร ?
วันนี้ ลงทุนเกิร์ลขอสรุปไทม์ไลน์สำคัญมาให้ แบบไม่สปอยล์เนื้อหาหลักในซีรีส์ค่ะ
ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของ “เบียร์ Guinness”
เรื่องราวเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1759 เมื่อผู้ก่อตั้งธุรกิจคนแรกคือ คุณ Arthur Guinness เข้าซื้อโรงเบียร์ St James's Gate ณ เมืองดับลิน พร้อมกับสัญญาเช่ายาวถึง 9,000 ปี ในราคาปีละ 45 ปอนด์
ต่อมาในยุคศตวรรษที่ 19 กิจการได้ตกมาถึงมือของหลานหรือทายาทรุ่นที่ 3 คือคุณ Benjamin Guinness ซึ่งเขาเป็นผู้ที่ทำให้แบรนด์เบียร์ท้องถิ่นในดับลิน เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และทำให้นามสกุล Guinness กลายเป็นตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในไอร์แลนด์
ซึ่งจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในซีรีส์คือ ภายหลังจากการเสียชีวิตของคุณ Benjamin กิจการ Guinness ก็ถูกส่งต่อมรดกให้กับลูกชาย 2 คนคือคุณ Arthur และคุณ Edward
หากอ้างอิงตามชีวิตจริง ลูกชายคนโตอย่างคุณ Arthur เลือกขายหุ้นส่วนของเขาในธุรกิจโรงเบียร์ให้กับน้องชายอย่างคุณ Edward แล้วหันไปรับตำแหน่งในรัฐสภา
ส่วนคุณ Edward กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เบียร์ Guinness เติบโตเป็นโรงเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มาถึงในปี ค.ศ. 1886 คุณ Edward ได้นำสัดส่วนหุ้นบริษัท 2 ใน 3 เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน คิดเป็นมูลค่าราว 6 ล้านปอนด์ หรือราว 30,000 ล้านบาทในปัจจุบันเมื่อปรับด้วยค่าเงินเฟ้อ
ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้คุณ Edward กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในไอร์แลนด์ และยังเป็นผู้บริหารโรงเบียร์ พร้อมส่งต่อธุรกิจไปยังลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป
ต่อมาช่วงปี ค.ศ. 1962-1986 คุณ Benjamin Guinness หลานชายของคุณ Rupert ถือเป็นสมาชิกคนสุดท้ายในครอบครัว ที่ทำหน้าที่บริหารกิจการโรงเบียร์
กระทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญคือช่วงปี ค.ศ. 1997 เมื่อบริษัท Guinness ที่ถูกบริหารโดยคนนอกตระกูล ได้ควบรวมกับ Grand Metropolitan ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Diageo โดยปัจจุบันบริษัทมีแบรนด์เครื่องดื่มชื่อดังในพอร์ตเช่น Johnnie Walker, Baileys และ Smirnoff
มาถึงตรงนี้ แม้ว่าครอบครัว Guinness จะไม่ได้บริหารกิจการโรงเบียร์โดยตรงแล้ว แต่ในปี ค.ศ. 2017 มีรายงานจากสำนักข่าว The Irish Independent ว่า ครอบครัวยังคงถือหุ้นใน Diageo ด้วยมูลค่าราว 8,600 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ไม่มีรายงานแน่ชัดว่าครอบครัว Guinness ยังคงถือหุ้นในสัดส่วนเท่าไร แต่ชื่อของตระกูลติดอันดับครอบครัวที่ร่ำรวย ตามการจัดอันดับของ The Sunday Times Rich List ประจำปี 2025 โดยมีความมั่งคั่งราว 37,000 ล้านบาท
ซึ่งต้องบอกว่าแหล่งความมั่งคั่งของตระกูลนี้ไม่ได้มาจากธุรกิจโรงเบียร์เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และที่ดินจำนวนมากที่ถือครองอยู่
สำหรับปัจจุบันคุณ Arthur Edward Rory Guinness ถือเป็นหัวหน้าครอบครัว Guinness ในตำแหน่ง Earl of Iveagh ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 และมีทายาทคือลูกชาย 2 คน
อ่านมาถึงตรงนี้จะเห็นว่า แม้ตระกูล Guinness จะส่งไม้ต่อให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Diageo แล้ว
แต่ชื่อเสียง ความมั่งคั่ง และประวัติศาสตร์ของตระกูลนี้ ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จจากรุ่นสู่รุ่นในโลกธุรกิจ..
ปิดท้ายด้วยเรื่องที่น่าสนใจ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา Guinness กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในสหรัฐฯ จากแชลเลนจ์ไวรัลในโซเชียลมีเดียที่ชื่อว่า “Splitting the G”
ที่แม้แต่เซเลบริตีอย่าง Ed Sheeran และ Niall Horan ก็ร่วมแชลเลนจ์นี้ โดยพยายามจิบเบียร์ Guinness จากแก้ว ให้ฟองเบียร์อยู่ตรงเส้นกึ่งกลางของตัวอักษร G ในโลโก
หมายเหตุ : บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาในการโปรโมตสินค้าใด ๆ หรือสนับสนุนให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพียงแต่ต้องการนำเสนอข้อเท็จจริงในมุมมองธุรกิจเท่านั้น
References :
Elle, Cosmopolitan, Historyextra, Trafalgar, Townandcountrymag, CBSnews
© 2025 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.