Loro Piana แบรนด์ผ้าขนสัตว์เก่าแก่ ที่ LVMH ใช้เงิน 90,000 ล้านบาท เพื่อซื้อกิจการ
Business

Loro Piana แบรนด์ผ้าขนสัตว์เก่าแก่ ที่ LVMH ใช้เงิน 90,000 ล้านบาท เพื่อซื้อกิจการ

30 เม.ย. 2022
Loro Piana แบรนด์ผ้าขนสัตว์เก่าแก่ ที่ LVMH ใช้เงิน 90,000 ล้านบาท เพื่อซื้อกิจการ /โดย ลงทุนเกิร์ล
รู้หรือไม่ ในจักรวรรดิอินคา มีหนึ่งในข้อห้ามเรื่องเสื้อผ้า ที่หากใครฝ่าฝืนอาจจะได้รับโทษหนัก ซึ่งก็คือ การห้ามคนธรรมดาสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจาก ขนจากสัตว์ที่ชื่อว่า “บิกุญญา”
เนื่องจากขนของมันมีความนุ่มมาก และช่วยป้องกันความหนาวได้ดี จึงถือเป็นของล้ำค่า ที่อนุญาตให้แค่พวกขุนนางสวมใส่เท่านั้น
แต่สำหรับในปัจจุบัน ข้อห้ามดังกล่าวได้จบลงแล้ว แต่สิ่งที่ยังเหมือนเดิมก็คือ ความล้ำค่าของขนจากบิกุญญา ที่อาจมีราคาสูงถึง 20,640 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าสูงกว่าราคาขนสัตว์ทั่วไปถึง 7.5 เท่า
ซึ่งหนึ่งในแบรนด์ที่ขึ้นชื่อ เรื่องการนำขนของตัวบิกุญญามาใช้แบบเป็นมิตร จนสร้างสินค้าให้โด่งดังในระดับโลก ก็คือ Loro Piana จากอิตาลี
เรื่องราวของ Loro Piana น่าสนใจอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ย้อนกลับไปเมื่อศตวรรษที่ 19 ณ ประเทศอิตาลี
ครอบครัว Loro Piana ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจซื้อขายผ้าขนสัตว์ จนถึงขนาดสร้างโรงสีขนสัตว์ สำหรับปั่นขนสัตว์ และทอผ้าขึ้นมาเป็นของตัวเอง ถึง 2 แห่ง
แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
ธุรกิจผ้าขนสัตว์ของครอบครัว Loro Piana ก็ต้องสะดุดลง
จนกระทั่งหลังสงครามสิ้นสุด สมาชิกในครอบครัวอย่างคุณ Pietro Loro Piana จึงได้เริ่มก่อตั้งบริษัท Loro Piana & C. ขึ้นในปี 1924 และฟื้นฟูกิจการผ้าขนสัตว์ขึ้นมาอีกครั้ง
เนื่องจากในขณะนั้น สินค้าพวกผ้าหรือสิ่งทอราคาสูง กำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้นทั้งในยุโรป และสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ชื่อเสียงของผ้าขนสัตว์ จากครอบครัว Loro Piana ก็กลายมาเป็นที่รู้จักในฐานะสินค้าหรูหรา คุณภาพสูง ที่ได้รับการยอมรับในวงการโอตกูตูร์ ทั้งในและนอกประเทศอิตาลี
แต่ต่อมาในปี 1975 คุณ Sergio และคุณ Pier Luigi Loro Piana ก็ได้เข้ารับช่วงต่อกิจการ และตัดสินใจต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจสินค้าแบรนด์หรู รวมถึงขยายกลุ่มลูกค้าในต่างประเทศ ที่จากเดิมจะมีแค่รูปแบบค้าส่ง ก็เริ่มพัฒนาสู่การค้าปลีก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ทั้งคู่เข้ามาบริหารกิจการผ้าขนสัตว์ของ Loro Piana ก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่ถูกธุรกิจผลิตสิ่งทอในเอเชีย เข้ามาแย่งส่วนแบ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น พวกเขาจึงแก้ปัญหาด้วยการหันไปลงทุนกับเครื่องจักร ที่ใช้ผลิตผ้าขนสัตว์ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าของตน
รวมถึงยังเป็นการสืบทอดความรู้ความเชี่ยวชาญจากครอบครัว Loro Piana ให้คงอยู่กับแบรนด์ โดยไม่สูญเสียตัวตน และเอกลักษณ์ของแบรนด์ไป
เพราะหากลองจินตนาการว่า ถ้าในทุกวันนี้ สินค้าของ Loro Piana ถูกผลิตขึ้นในโรงงาน OEM ของประเทศจีน เสน่ห์ของความเป็นผ้าทอขนสัตว์จากอิตาลี ก็คงจะไม่เหมือนเดิม
สำหรับในปัจจุบัน แบรนด์ Loro Piana ขึ้นชื่อในเรื่องการผลิตเสื้อผ้าขนสัตว์ จากวัตถุดิบที่ดีที่สุด และหายากที่สุดในโลก
โดยแบรนด์ Loro Piana จะมีการใช้ขนสัตว์จากตัว Vicugna หรือ บิกุญญา สัตว์ตระกูลอูฐ ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้าย ๆ อัลปากา
ซึ่งขนของตัวบิกุญญา ถูกขนานนามว่าเป็น “หนึ่งในขนสัตว์ที่หายาก และมีค่ามากที่สุดในโลก” อีกทั้งขนของมันจะมีความนุ่ม และอุ่นมาก ซึ่งเหมาะกับการนำมาทำเป็นเสื้อผ้าสำหรับเมืองหนาว
นอกจากตัวบิกุญญาแล้ว ทาง Loro Piana ก็ยังมีการใช้ “ขนแกะเมอริโน” จากประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งถือว่าเป็น หนึ่งในขนแกะที่ดีที่สุด และนุ่มที่สุด
รวมถึงอีกหนึ่งสินค้าขึ้นชื่อของ Loro Piana ก็คือ ​​ผ้าแคชเมียร์ ที่มาจากแพะที่เลี้ยงในมองโกเลีย และภาคเหนือของจีน
ที่น่าสนใจคือ สำหรับคนที่มองว่าธุรกิจนี้ จะเป็นการทำร้ายสัตว์
แต่จริง ๆ แล้ว คนงานจะทำการหวีขนให้แพะอย่างเบามือ และนำเอาขนที่หลุดร่วงออกมาใช้ทอ
ซึ่งใน 1 ปี จะเก็บขนได้เพียง 200-250 กรัมต่อหนึ่งตัว
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผ้าแคชเมียร์ของ Loro Piana ถึงมีราคาสูงมากนั่นเอง
ไม่เพียงแต่ขนสัตว์เท่านั้น ที่ Loro Piana นำมาใช้ผลิตสินค้า
แต่ยังมี “เส้นใยพืชจากดอกบัว” เป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบขึ้นชื่อของแบรนด์นี้ด้วยเช่นกัน
โดยเส้นใยบัว ของ Loro Piana จะถูกผลิตขึ้นโดยแรงงานฝีมือที่เชี่ยวชาญในประเทศพม่า
และมีความพิเศษในการระบายอากาศได้ดี, ยับยาก และมีขนาดเส้นใยที่เล็กละเอียด
ซึ่งถึงแม้ว่าสินค้าส่วนใหญ่ของ Loro Piana จะผลิตมาจากขนสัตว์
แต่ทางแบรนด์ก็ยังคงเน้นให้ความสำคัญ กับการดูแลสัตว์เหล่านั้น
ไม่ว่าจะเป็น การห้ามฆ่าสัตว์เพื่อนำขนมาใช้ ไปจนถึงการสร้างเขตอนุรักษ์ตัวบิกุญญาของ Loro Piana ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อให้บิกุญญาสามารถใช้ชีวิตตามธรรมชาติของมันได้โดยไม่ถูกมนุษย์ไล่ล่า เนื่องจากขนของมันมีราคาที่สูง จนเป็นที่หมายปองของใครหลายคน
อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ กลุ่มลูกค้าของ Loro Piana ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประเทศตะวันตกเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่ประเทศในฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลักของ Loro Piana
ต่อมาในปี 2013 ทายาทของ Loro Piana ก็ได้ขายหุ้น 80% ให้กับ LVMH บริษัทเจ้าของพอร์ตแบรนด์หรูที่ใหญ่สุดในโลก ที่มีแบรนด์หรูในเครืออย่าง Dior และ Louis Vuitton
โดยมูลค่าในการซื้อขายกิจการในครั้งนี้สูงถึงเกือบ 90,000 ล้านบาท
นี่จึงหมายความว่า มูลค่าของ Loro Piana ทั้งหมดอยู่ที่ 112,500 ล้านบาท ถ้าเทียบให้เห็นภาพชัด ๆ กับบริษัทในไทย Loro Piana ก็จะใหญ่พอ ๆ กับบริษัท บีทีเอส ที่ทำธุรกิจรถไฟฟ้าเลยทีเดียว
ซึ่งหนึ่งในเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้ LVMH ยอมจ่ายเงินซื้อกิจการในราคาหลายหมื่นล้านบาท ก็เพราะว่า Loro Piana มีโมเดลธุรกิจแบบ Vertically Integrated หรือก็คือ กิจการที่ทำตั้งแต่ต้นน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ
หรือถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือ ตั้งแต่กระบวนการเลี้ยงสัตว์ กระบวนการเก็บขน การผลิตเสื้อผ้า ไปจนถึงเรื่องการตลาด และการสร้างแบรนดิง ทั้งหมดอยู่ในมือของ Loro Piana
ทำให้พวกเขามีการพึ่งพาบริษัทอื่นน้อยมาก ๆ
อีกทั้งการทำเช่นนี้ ยังทำให้แบรนด์มี Know-how เป็นของตัวเอง และยากที่ใครจะเลียนแบบได้
รวมไปถึง LVMH เองก็ยังไม่มีแบรนด์เสื้อผ้าขนสัตว์โดยเฉพาะอย่าง Loro Piana
ดังนั้น การได้แบรนด์นี้เข้ามาเติมพอร์ต
ก็จะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับอาณาจักรแบรนด์หรู
และยังจับกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้นอีกด้วย..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.