รู้จัก กองทุน ที่ทำเงินมหาศาล จาก “เพลงฮิต”
Business

รู้จัก กองทุน ที่ทำเงินมหาศาล จาก “เพลงฮิต”

15 พ.ย. 2022
รู้จัก กองทุน ที่ทำเงินมหาศาล จาก “เพลงฮิต” /โดยลงทุนเกิร์ล
ถ้าพูดถึง กองทุนทั่วไป
หลายคนอาจนึกถึง การนำเงินไปลงทุนในหุ้น, น้ำมัน, ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ หรือ พันธบัตรรัฐบาล
แต่รู้ไหมว่า “ลิขสิทธิ์เพลง” ก็สามารถนำมาลงทุนได้เช่นกัน
โดยกองทุนนี้ มีชื่อว่า “Hipgnosis Songs”
ซึ่งจะเป็นการลงทุนในลิขสิทธิ์เพลงฮิตของศิลปินดังมากมายระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น..
-เพลง All I Want for Christmas Is You ของคุณมารายห์ แครี
-เพลง Shape Of You ของคุณเอ็ด ชีแรน
-เพลง Uptown Funk ของคุณ Mark Ronson ft. คุณ Bruno Mars
ที่ในปี 2015 ติดชาร์ตเพลงอันดับ 1 ยาวนานที่สุดบน Billboard
แล้วทำไม ลิขสิทธิ์เพลง ถึงเป็นการลงทุน ที่สามารถสร้างผลกำไรได้ ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง..
กองทุน Hipgnosis Songs ก่อตั้งขึ้นในปี 2018 ที่ประเทศอังกฤษ โดยคุณ Merck Mercuriadis และคุณ Nile Rodgers
ซึ่งไอเดียของกองทุนนี้ เกิดขึ้นเมื่อ แพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลงอย่าง Spotify เข้ามาเปิดให้บริการในอังกฤษ
และถือเป็นครั้งแรกที่ Spotify เริ่มรุกตลาดต่างชาติ
เรื่องนี้ทำให้คุณ Mercuriadis มองเห็นโอกาสว่า
สตรีมมิงเพลง คือ อนาคตใหม่ของอุตสาหกรรมเพลง
ดังนั้น ไอเดียในการนำเพลงมาเป็นสินทรัพย์สำหรับลงทุน จึงได้เกิดขึ้น..
โดย Hipgnosis Songs เป็นกองทุนประเภท “ทรัสต์”
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การระดมทุนจากนักลงทุน เพื่อนำไปลงทุนตามจุดประสงค์ ซึ่งในกรณีของ Hipgnosis Songs ก็เป็นการนำเงินของนักลงทุนไปลงทุนใน “ลิขสิทธิ์เพลง”
แต่ไม่ใช่ว่า ทุกเพลง จะสามารถนำมาเป็นการลงทุนได้
เพราะบริษัทจะคัดเลือกเพลงยอดฮิต หรือเพลงของศิลปินดัง ที่ดูแล้วว่า มีศักยภาพมากพอที่จะนำไปทำเงินต่อได้
โดยในปัจจุบัน กองทุน Hipgnosis Songs
ถือครองลิขสิทธิ์เพลงมากกว่า 65,000 เพลง
และกว่า 50% เป็นเพลงที่มีอายุมากกว่า 10 ปี
เนื่องจาก มันผ่านกาลเวลาพิสูจน์แล้วว่า ผู้คนชอบมันจริง ๆ และยากที่จะถูกลืมเลือน
สำหรับการเข้าลงทุนในเพลงฮิต ก็จะมีทั้งแบบการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงนั้นทั้งหมด และมีแบบที่เป็นเจ้าของร่วมกับผู้เป็นเจ้าของเดิม แล้วแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งเงื่อนไขก็จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการตกลง
อีกเรื่องที่น่าสนใจ คือ ในปัจจุบัน Hipgnosis Songs มีเพลงที่ ยอดสตรีมมิงเกิน 1,000 ล้านครั้ง บน Spotify ถึง 67 เพลงเลยทีเดียว
รวมไปถึง Hipgnosis Songs ยังลงทุนในลิขสิทธิ์เพลงฮิตของ เหล่าซูเปอร์สตาร์แถวหน้าหลายราย เช่น
คุณมารายห์ แครี จำนวน 52 เพลง
ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเพลง All I Want For Christmas Is You
บทเพลงอมตะ ที่ถูกเปิดเป็นประจำทุกปี ในเทศกาลคริสต์มาส
คุณเอ็ด ชีแรน จำนวน 27 เพลง
โดยมีเพลง Shape Of You ที่ทำสถิติยอดสตรีมมิงสูงสุดถึง 3,000 ล้านครั้ง บน Spotify
คุณบียอนเซ่ จำนวน 64 เพลง
ตัวแม่ของวงการเพลง ที่ฝากผลงาน เช่น
เพลง Halo, Love On Top และ Hello
และยังมีลิขสิทธิ์เพลงของ คุณแฮร์รี สไตลส์, คุณอารีอานา กรานเด และคุณจัสติน บีเบอร์ อีกด้วย
แล้วการลงทุนกับเพลง ทำเงินได้แค่ไหน ?
เราลองมาดูผลประกอบการ ของบริษัท Hipgnosis Songs ที่เป็นผู้จัดการกองทุนนี้กันค่ะ
ปี 2020 รายได้ 2,990 ล้านบาท กำไร 1,150 ล้านบาท
ปี 2021 รายได้ 4,960 ล้านบาท กำไร 1,630 ล้านบาท
ปี 2022 รายได้ 6,030 ล้านบาท ขาดทุน 815 ล้านบาท
โดยหากเปรียบรายได้ในปี 2022 เป็นเงิน 100 บาท จะมาจาก
สตรีมมิง 36 บาทค่าลิขสิทธิ์เนื้อเพลงหรือทำนอง ที่บริษัทซื้อสิทธิ์ต่อจากผู้แต่ง 23 บาทค่าการแสดง และการนำเพลงไปเปิดตามสาธารณะ 11 บาทการนำเพลงไปใช้ประกอบภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือวิดีโอเกม 11 บาทรายได้อื่น ๆ เช่น การดาวน์โหลดเพลง และการทำซ้ำ หรือคัดลอกเพลง อีก 19 บาท
Hipgnosis Songs ยังไม่ได้เน้นแค่ ลงทุนในลิขสิทธิ์เพลงดัง เพื่อมาสะสม และรอรับค่าลิขสิทธิ์เท่านั้น
แต่ยังมองเพลงเป็นเสมือนแบรนด์ ๆ หนึ่ง
ที่ต้องถูกบริหาร และสร้างมูลค่าให้กับมันต่อไปเรื่อย ๆ
ดังนั้น Hipgnosis Songs จึงจะมีทีมงานที่คอยหาลูกค้า เพื่อนำเสนอบรรดาเพลงที่พวกเขาลงทุน ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้มากขึ้น เช่น
การหาช่องทางการโปรโมตเพลง ผ่านภาพยนตร์, ซีรีส์, วิดีโอเกม, รายการทีวี, สื่อโฆษณา และการเปิดตามร้านอาหาร หรือห้างสรรพสินค้า ไปจนถึงการหาศิลปินมา Cover เพลง ให้ยังคงมีกระแสอยู่ต่อไป
โดยในปัจจุบัน กองทุนนี้มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) สูงถึง 56,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.2%
เรียกได้ว่า รูปแบบธุรกิจของ Hipgnosis Songs กับการเป็นกองทุนเพลงนั้น น่าสนใจมิใช่น้อย
แต่เหนือสิ่งอื่นใด เรื่องราวนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่า “โอกาส” นั้น อยู่รอบตัวเราจริง ๆ
เพราะใครจะไปคิดว่า เพลงที่เราทุกคนต่างฟังกันทุกวัน
มันจะก่อให้เกิดรายได้ ในรูปแบบของ กองทุนเพลง เช่นนี้..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.