ทำไม “ทรายแมว” จากวัสดุธรรมชาติ ที่ราคาสูงกว่าปกติเกือบ 2 เท่า ถึงกำลังได้รับความนิยม
Business

ทำไม “ทรายแมว” จากวัสดุธรรมชาติ ที่ราคาสูงกว่าปกติเกือบ 2 เท่า ถึงกำลังได้รับความนิยม

2 มี.ค. 2023
ทำไม “ทรายแมว” จากวัสดุธรรมชาติ ที่ราคาสูงกว่าปกติเกือบ 2 เท่า ถึงกำลังได้รับความนิยม /โดย ลงทุนเกิร์ล
รู้หรือไม่ว่า ทุกวันนี้ “ทรายแมว” ที่ขายอยู่ในท้องตลาด “ไม่ใช่ทราย”
แล้ว ทรายแมว ทำมาจากอะไรบ้าง ?
จริง ๆ แล้ว ทรายแมว ก็มีหลายประเภท แต่ตอนนี้ทรายแมวที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ เช่น กากเต้าหู้ ผักตบชวา มันสำปะหลัง ฯลฯ ซึ่งมีราคาสูงกว่าทรายแมวทั่วไป ๆ เกือบ 2 เท่า กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มทาสแมว ทั้งไทย ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
แล้วทำไม ทาสแมวยุคใหม่ ถึงยอมจ่ายค่าทรายแมว ที่ต้องตักทิ้งทุกวัน แพงขึ้น เพื่อใช้ทรายแมวประเภทนี้ ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ปัจจุบันคนไทยเลี้ยงสัตว์มากขึ้น โดยข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกระทรวงพาณิชย์ พบว่า
คนไทย มีค่าใช้จ่ายค่าอาหารสัตว์ต่อเดือน อยู่ที่ 1,001-2,000 บาท
มีค่าใช้จ่ายในการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนลูก ทั้งสุนัขและแมว เฉลี่ยอยู่ที่ 14,200 บาท/ตัว/ปี
และคาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทย จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.4% มาอยู่ที่ 66,748 ล้านบาท ในปี 2569 อีกด้วย
ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ ก็สอดคล้องกับตัวเลขการเติบโตของ “ตลาดทรายแมว” หนึ่งในของสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับบรรดาคนเลี้ยงแมวเช่นกัน
ตลาดทรายแมวใหญ่แค่ไหน ?
ปัจจุบันตลาดของผลิตภัณฑ์ทรายแมว ถือเป็นตลาดที่เริ่มมีการแข่งขันสูง เพราะมีสารพัดแบรนด์เข้ามาทำตลาด ทั้งที่ผลิตในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ
โดยมูลค่าของตลาดทรายแมวในไทยนั้น อยู่ที่ 800 ล้านบาทต่อปี
ขณะที่ตลาดทรายแมวทั่วโลก มีมูลค่าอยู่ที่ราว 280,000 ล้านบาทต่อปี เลยทีเดียว
แถมตลาดทรายแมว ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีกในอนาคต
ที่เป็นแบบนั้นเพราะไม่ใช่แค่คนเลี้ยงสัตว์ หรือเลี้ยงแมวกันมากขึ้นเท่านั้น
แต่พฤติกรรมของคนเลี้ยงสัตว์ยุคใหม่ กำลังให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยง เหมือนเลี้ยงดูลูก (Pet Parent) จึงยอมควักเงินเพิ่ม เพียงเพื่อให้ลูกขนปุยของพวกเขามีชีวิต “ที่ดีที่สุด”
ไม่เว้นแม้แต่การเลือกใช้ทรายแมว ที่แม้จะมีไว้เพื่อรองรับสิ่งปฏิกูล และต้องตักทิ้งทุกวัน ทาสแมวก็ยังเฟ้นหาสิ่งที่มีคุณสมบัติที่ดีด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันทรายแมว ทำมาจากหลากหลายวัสดุ โดยมี 3 ประเภทหลัก ๆ ที่หาได้ทั่วไป คือ
1.ทรายแมวเบนโทไนต์ (Bentonite)
ซึ่งส่วนใหญ่ทำมาจากหินภูเขาไฟ ราคาเฉลี่ยประมาณ 80-150 ​บาท ต่อ 6 ลิตร
ข้อดีคือ เมื่อถูกน้ำจะจับตัวเป็นก้อน ทำให้ตักออกง่าย แถมหาซื้อได้ง่าย ราคาไม่สูงมาก
แต่มีข้อเสียคือ ทรายติดเท้าแมวได้ง่าย มีฝุ่นฟุ้ง ย่อยสลายยาก และไม่สามารถทิ้งลงชักโครกได้
2.ทรายแมวคริสตัล (Crystal litter) หรือทรายแมวซิลิกาเจล
ทำจากโซเดียมซิลิเกต (Sodium Silicate) หน้าตาเหมือนก้อนกรวดใส ราคาเฉลี่ยประมาณ 100-200 ​บาท ต่อ 6 ลิตร
ข้อดีคือ ดูดซับสูงกว่าแบบเบนโทไนต์ และมีอายุการใช้งานนาน
ส่วนข้อเสียคือ ไม่สามารถทิ้งลงชักโครกได้ และทรายอาจบาดเท้าน้องแมวได้
3.ทรายแมวจากวัสดุธรรมชาติ
ทำมาจากผลผลิตจากธรรมชาติ เช่น กากเต้าหู้ มันสำปะหลัง ผักตบชวา ข้าวโพด ซังข้าวโพด หญ้า ฯลฯ
ข้อดีคือ ย่อยสลายง่าย ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนและสัตว์ สามารถตักทิ้งลงชักโครกได้ โดยไม่ทำให้ท่อตัน
แต่ข้อเสียก็คือ ยังมีราคาที่สูงกว่าทรายแมวประเภทอื่น ๆ เกือบ 2 เท่า
ซึ่งทรายแมวที่ทำจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติแต่ละประเภท ก็จะมีคุณสมบัติและราคาที่แตกต่างกันออกไปด้วย
ยกตัวอย่างแบรนด์ทรายแมวจากวัสดุธรรมชาติ ที่เห็นได้ตามท้องตลาด เช่น
-Hide & Seek ทรายแมวมันสำปะหลัง สัญชาติไทย ราคา 200-250 บาท (6 ลิตร)
-Kasty ทรายแมวเต้าหู้ธรรมชาติ จากประเทศเยอรมนี ราคาเริ่มต้น 200 บาท (6 ลิตร)
-Corn Cat Litter ทรายแมวจากข้าวโพด ผลิตในประเทศไทย ราคาเริ่มต้น 200 บาท (6 ลิตร)
จะเห็นว่า ทรายแมวจากวัสดุธรรมชาติ จะมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าทรายแมวประเภทอื่น ๆ
แล้วอะไร ทำให้ทาสแมวทั้งหลาย ยอมจ่ายเงินซื้อทรายแมวในราคาที่สูงขึ้น ?
ซึ่งเรื่องนี้ก็มีหลายปัจจัยที่สนับสนุนให้คนเลี้ยงแมว ยอมจ่ายเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็น..
-ไม่เป็นภาระต่อโลก เช่น ย่อยสลายได้ กระบวนการในการผลิตไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
-ใช้ง่าย สะดวกสบาย เช่น ช่วยลดเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์ จับตัวเป็นก้อนได้ดี ตักง่าย หรือทิ้งลงชักโครกได้แบบไม่ต้องกลัวท่อตัน
-ปลอดภัยต่อคนและสัตว์ ไม่มีสารอันตราย ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพแมว เมื่อเผลอกลืนทรายแมวเข้าไป
มาถึงตรงนี้ อาจยังมองไม่เห็นภาพว่า ความต้องการทรายแมว จะเติบโตได้มากแค่ไหน ?
ลองนึกภาพตามว่า ตราบใดที่เจ้าเหมียวยังมีชีวิต ทรายแมวก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ทุกวัน
ขณะเดียวกัน ยิ่งแนวโน้มคนเลี้ยงแมวมากขึ้นเท่าไร ความต้องการทรายแมวก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
อีกทั้งสมัยนี้ พบว่ากลุ่มคนเลี้ยงแมว หันมาสนใจใช้ทรายแมวจากธรรมชาติ หรือผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงที่พรีเมียมมากขึ้น ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันตลาดทรายแมวให้เติบโตขึ้นเช่นกัน
ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ในต่างประเทศ อย่างญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ก็เกิดขึ้นด้วย
อย่างในประเทศญี่ปุ่น แมวเป็นสัตว์ที่มีคนเลี้ยงมากที่สุด แซงหน้าเจ้าตูบมาตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน
ทำให้มูลค่าตลาดทรายแมว รวมทั้งแผ่นรองซับและแผ่นรองทรายแมว ในญี่ปุ่นมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้น
เช่น ในปี 2561 ตลาดทรายแมว มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 7,720 ล้านบาท
และเติบโตเป็น 8,220 ล้านบาท ในปี 2562 หรือเพิ่มขึ้น 6.5%
โดยคุณสมบัติของทรายแมวที่คนญี่ปุ่นต้องการ จะต้องมีคุณสมบัติสำคัญคือ ช่วยการดับกลิ่นได้ดี ทิ้งได้ง่าย เป็นขยะที่เผาได้ รวมถึงย่อยสลายได้ เมื่อทิ้งลงในชักโครก
ทำให้ทรายแมวที่นิยมในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ เป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ หรือทำจากวัสดุธรรมชาติ
ถึงแม้ระดับราคาจะสูงกว่าทรายแมวทั่วไปก็ตาม เพราะเป็นสิ่งที่กลุ่มคนรักสัตว์ต้องการ นั่นเอง
จะเห็นได้ว่า ตลาดทรายแมว เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้รับประโยชน์จากพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่หันมาเลี้ยงสัตว์เป็นเสมือนลูกมากขึ้น
ขณะเดียวกัน คนกลุ่มนี้ก็ให้ความสำคัญกับมิติทางสังคม สิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังไม่ทิ้งความสะดวกสบาย
จึงไม่น่าแปลกใจที่ทรายแมว ที่สามารถตอบโจทย์คนเลี้ยงแมวได้แทบทุกมิติ อย่างทรายแมวจากธรรมชาติ สามารถทำให้ทาสแมว ยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นให้กับสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเจ้าเหมียวได้แบบไม่ยาก..
----------------------------------------------------
Presented by กลุ่มบริษัทธนจิรากรุ๊ป (TANACHIRA) เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่นแบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศได้แก่ Pandora (แพนดอร่า), Marimekko (มารีเมกโกะ), Cath Kidston (แคท คิดสตัน) และเจ้าของผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลผิวพรรณ สปาแบบองค์รวมรายแรกในไทยภายใต้แบรนด์ HARNN (หาญ), VUUDH (วุฒิ), HARNN Heritage Spa (หาญ เฮอริเทจสปา) และ SCape by HARNN (เอสเคป บาย หาญ) มีสาขาอยู่ทั่วประเทศและในภูมิภาคกว่า 165 สาขา ภายใต้แนวคิด “Bring the Best of the Brand to the Best of Thailand”
https://www.facebook.com/TANACHIRA-GROUP-174055739828807/#TANACHIRA
----------------------------------------------------
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.