NIKE กำลังโดนขู่ว่าจะถูก Boycott ในญี่ปุ่น
Business

NIKE กำลังโดนขู่ว่าจะถูก Boycott ในญี่ปุ่น

16 ธ.ค. 2020
NIKE กำลังโดนขู่ว่าจะถูก Boycott ในญี่ปุ่น /โดย ลงทุนเกิร์ล
ที่ผ่านมา เราคงจะเห็นการตลาดของ NIKE ที่มักจะโยงเข้ากับประเด็นทางสังคมอันร้อนแรง แบบที่ไม่ค่อยมีแบรนด์ไหนกล้าทำ
โดย NIKE เป็นแบรนด์แรกๆ ที่กล้านำเอาประเด็นทางสังคม เข้ามาเชื่อมโยงกับธุรกิจ
อย่างเช่น เรื่องของคุณ Colin Kaepernick นักกีฬาผิวสี ชาวอเมริกัน ที่ต้องการเรียกร้องให้เลิกเลือกปฏิบัติต่อคนผิวสี ด้วยการนั่งคุกเข่าในขณะที่เพลงชาติสหรัฐฯ ดังขึ้น
โดยการกระทำของเขา ทำให้ฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ และไม่เคารพต่อธงชาติของประเทศ
แต่อีกฝ่ายก็ออกมาสนับสนุนถึงความกล้าหาญที่เขากล้าแสดงจุดยืน
ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน และมีการโต้เถียงอย่างหนักในสหรัฐฯ
แต่หลังจากนั้น NIKE ก็ได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยการดึงตัวคุณ Colin Kaepernick มาเป็นพรีเซนเตอร์ในแคมเปญ Just do it.
แม้ว่าเรื่องนี้ จะมีหลายฝ่ายที่ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย จนถึงขั้นเผาทำลายสินค้าของ NIKE
แต่สุดท้ายความยึดมั่นในจุดยืนของ NIKE นี่เอง
ก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดลูกค้าอีกส่วน ให้หันมาช่วยสนับสนุนแบรนด์กันอย่างเต็มที่
ดังนั้นที่ผ่านมา จึงอาจมองได้ว่า NIKE ประสบความสำเร็จกับการทำการตลาดแบบนี้มาโดยตลอด
แต่แน่นอนว่าการดึงประเด็นทางสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจ ก็เป็นเรื่องที่เสี่ยง
และอาจทำลายภาพลักษณ์ดีๆ เหมือนกับครั้งที่เกิดกับแคมเปญของคุณ Colin Kaepernick
และเรื่องนี้ก็กำลังเกิดขึ้นกับ NIKE ในตอนนี้..
หลังจาก NIKE JAPAN ปล่อยโฆษณา “The Future Isn’t Waiting.”
ซึ่งในวิดีโอนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงวัยรุ่น 3 คน ซึ่งมีเชื้อสายญี่ปุ่น, เกาหลี และชาวผิวสี
โดยพวกเธอทั้ง 3 คน ถูกกลั่นแกล้ง และเลือกปฏิบัติจากคนรอบข้าง
ซึ่งในวิดีโอนี้ ยังมีคุณนาโอมิ โอซากะ นักเทนนิส ลูกครึ่งญี่ปุ่น-เฮติ มาปรากฏอยู่ช่วงหนึ่งด้วย
การทำการตลาดในแนวนี้ ถือเป็นเรื่องปกติมากสำหรับแบรนด์ NIKE
แต่สำหรับประเทศญี่ปุ่น แคมเปญการตลาดในลักษณะแบบนี้ ไม่ไช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยนัก
ทำให้แคมเปญการตลาดของ NIKE JAPAN ตัวนี้
ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลายจากชาวญี่ปุ่น
เนื่องจากชาวญี่ปุ่นบางส่วนมองว่า เนื้อหาในวิดีโอเป็นการเหมารวมว่าคนญี่ปุ่นมีนิสัยชอบกลั่นแกล้งและเลือกปฏิบัติ
และยังประณามบริษัท NIKE ที่นำเสนอประเด็นละเอียดอ่อนของคนญี่ปุ่นไปให้สากลรับรู้
นอกจากนี้ ปัญหาความตึงเครียดระหว่างชาวญี่ปุ่น และชาวเกาหลี เป็นเรื่องที่ละเอียดและอ่อนไหวมากในทั้งสองประเทศ ซึ่งชาวญี่ปุ่นมองว่าการทำวิดีโอออกมาในลักษณะนี้เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และชาวต่างชาติไม่มีวันเข้าใจได้
ซึ่งปกติแล้ว ชาวญี่ปุ่นมักจะไม่ค่อยแสดงความไม่พอใจ
หรือพูดถึงเรื่องที่ไม่พอใจออกมาอย่างตรงๆ ถ้าหากไม่ใช่เรื่องที่ล้ำเส้นเกินไป
วิดีโอนี้จึงสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับชาวญี่ปุ่น
ที่ “บริษัทต่างชาติ” อย่าง NIKE มาชี้ปัญหาในสังคมญี่ปุ่น ให้คนญี่ปุ่นรับทราบ
เมื่อความไม่พอใจก่อตัวขึ้น ชาวญี่ปุ่นหลายคน เริ่มพากัน Boycott สินค้าจากแบรนด์ NIKE
แต่ทว่า ก็มีชาวญี่ปุ่นบางส่วน ที่รู้สึกยินดีจากการที่ NIKE เลือกหยิบประเด็นนี้ขึ้นมานำเสนอให้คนในสังคมได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว
ทางด้าน NIKE ก็ได้ออกมาบอกกับสำนักข่าว Nikkei ว่า
“เรื่องราว และปัญหาที่ถูกนำเสนอในวิดีโอถูกสร้างขึ้นมาจากเรื่องจริงที่นักกีฬาหลายคนต้องเผชิญ และปัญหาการเลือกปฏิบัติก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่ปัญหาแค่เฉพาะประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น”
ซึ่งทาง NIKE เองก็ยืนยันว่าการทำวิดีโอดังกล่าวมาจากความหวังดี ไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีหรือว่าร้ายประเทศใด
นอกจากนี้ ทาง NIKE ยังประเมินว่าความเสียหายจากแคมเปญนี้จะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น
และน่าจะใช้เวลาไม่นาน ทุกอย่างก็จะกลับมาปกติ
แม้ว่าจะมีคนที่ออกมา Boycott สินค้าจาก NIKE
แต่นักวิชาการญี่ปุ่นบางท่านก็ให้ความเห็นว่า คนที่ออกมาต่อต้าน และ Boycott แบรนด์ NIKE ไม่ใช่กลุ่มที่ชื่นชอบการซื้อสินค้าจากแบรนด์ NIKE และบางคนก็ยังไม่เคยซื้อของจากแบรนด์ NIKE ด้วยซ้ำ
แต่อย่างไรก็ตาม นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แคมเปญการตลาดของ NIKE ทำให้เกิดการโต้เถียง
และที่ผ่านมาการโต้เถียงก็ไม่ได้ทำให้ยอดขายลดลงเสมอไป และในบางครั้งก็ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีได้
อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในตอนที่ NIKE ให้คุณ Colin Kaepernick เป็นพรีเซนเตอร์
ซึ่งแม้ว่าจะมีกระแสตอบรับที่ไม่ดี แต่เมื่อผลลัพธ์ออกมากลับกลายเป็นยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น
จากกลุ่มคนที่มีจุดยืนเช่นเดียวกับ NIKE
ซึ่งไม่ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
ก็คงไม่สามารถสั่นคลอนจุดยืนของ NIKE ได้
และความเชื่อมั่นนี้เอง ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ลูกค้าหลงใหลในแบรนด์ NIKE..
References: NIKKEI ASIA, BBC
Tag:NIKE
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.