บริษัท Kering คืออะไร? ทำไม Emma Watson ถึงเข้าทำงานที่นี่
FashionBusiness

บริษัท Kering คืออะไร? ทำไม Emma Watson ถึงเข้าทำงานที่นี่

23 มิ.ย. 2020
รู้หรือไม่ บริษัท Kering เป็นเจ้าของแบรนด์สุดหรู อย่าง
Gucci, Balenciaga, Saint Laurent และ Alexander McQueen
โดยล่าสุด บริษัท Kering ได้ประกาศแต่งตั้ง Emma Watson
ให้ขึ้นดำรงตำแหน่ง “ประธานกรรมการด้านความยั่งยืน”
แล้วเรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร และบริษัท Kering ใหญ่แค่ไหน?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
Kering เป็นบริษัทสัญชาติฝรั่งเศส
ก่อตั้งโดย คุณ François Pinault ในปี 1963
ปัจจุบัน Kering เป็นบริษัทเจ้าของพอร์ตแบรนด์หรูรายใหญ่ของโลก
โดยมีมูลค่าบริษัทสูงถึง 2.2 ล้านล้านบาท
หรือเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ ก็คือ
Kering ใหญ่กว่า ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในไทย ถึง 2 เท่า
แล้วทำไม Emma Watson ถึงเข้าร่วมงานกับ Kering?
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ Emma Watson เลือกร่วมงานกับ Kering อาจเป็นเพราะ
เธอและ Kering มีบางอย่างที่คล้ายกัน ซึ่งนั่นก็คือ
ทั้งคู่ให้ความสนใจในประเด็น สิ่งแวดล้อม และ สิทธิสตรี
โดย Emma Watson มักจะเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม และสิทธิสตรีอยู่บ่อยครั้ง
ซึ่งเธอคงอยากจะผลักดันประเด็นให้เกิดขึ้นจริง มากกว่าการออกมาเรียกร้องด้วยวิธีเดิมๆ
ดังนั้น การเข้ามาทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก
น่าจะเป็นวิธีที่ช่วยทำให้สิ่งที่เธอกำลังต่อสู้อยู่เห็นผลชัดเจนมากขึ้น
และหลังจากนี้ เธอจะเปลี่ยนสถานะจาก เซเลบริตี
สู่ ประธานด้านความยั่งยืนของหนึ่งในบริษัทที่ทรงอิทธิพลด้านแฟชั่นของโลก
นอกจากนี้ สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็ คือ
Kering ก็ได้ประโยชน์จากการแต่งตั้ง Emma Watson เช่นกัน
เพราะเธอจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูดีขึ้น และยังกลายเป็นการโฆษณาบริษัทไปพร้อมๆ กัน
ในขณะเดียวกัน Kering ยังเป็นหนึ่งในบริษัทด้านแฟชั่น ที่มีเป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างชัดเจน
เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 1996 Kering ก็ได้ตั้ง “หลักจรรยาบรรณแรก”
ว่าจะรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และสังคม
ถัดมาในปี 2003 บริษัทจึงได้ตั้งทีมงานด้านความยั่งยืน
และสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัล สำหรับรายงานเรื่องสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ
ต่อมาในปี 2007 Kering ได้ตั้งคณะผู้บริหารในแผนกความยั่งยืน
ซึ่งจะรายงานต่อ CEO ของบริษัทโดยตรง
ประเด็นที่สำคัญอีกอย่างก็คือ “โบนัส” ของผู้บริหาร
จะคำนวณโดยใช้ “เป้าหมายความยั่งยืน” เป็นเกณฑ์
ในขณะเดียวกัน บริษัทยังได้สร้างห้องทดลอง Materials Innovation Lab (MIL)
เพื่อคิดค้นวัสดุอย่าง ผ้าและสิ่งทอให้มีความยั่งยืนมากขึ้น
อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญก็คือ Kering กำลังพยายามสร้าง “วงจรธุรกิจ” ที่ยั่งยืน
โดยกำหนดมาตรฐาน “Kering Standards”
สำหรับให้ซัพพลายเออร์ และแบรนด์ในเครือปฏิบัติตาม
ดูเหมือนว่า Kering จะจริงจังกับเรื่องความยั่งยืนอย่างมาก
จนทำให้ Kering ได้รับเลือกจาก Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ถึง 3 ครั้ง
DJSI เป็นดัชนีที่ใช้วัดความยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ
โดยจะคัดเลือกบริษัทรายใหญ่ทั่วโลก ที่มีผลการดำเนินงานอย่างยั่งยืนจากในแต่ละอุตสาหกรรม
ซึ่งการที่บริษัทหนึ่งจะได้รับคัดเลือก ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก
เพราะต้องอาศัยผลการดำเนินงานทั้งในปัจจุบัน และอดีตที่ดีจริงๆ
ตอนนี้หลายคน อาจจะกำลังสงสัยว่าความยั่งยืนเกี่ยวอะไรกับ แบรนด์แฟชั่นสุดหรู?
ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เพราะแฟชั่น
เป็นอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอุตสาหกรรมน้ำมันเท่านั้น
แน่นอนว่า Kering ซึ่งเป็นบริษัทแฟชั่นรายใหญ่ จะต้องสร้างมลภาวะไม่น้อยเลยทีเดียว
ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นความรับผิดชอบของธุรกิจ ที่ควรจะสร้างผลกระทบต่อโลกให้น้อยที่สุด
นอกจากเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว Kering ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืน “ทางสังคม” อีกด้วย
โดย Kering ได้มีการผลักดันในประเด็น “ความรุนแรงต่อผู้หญิง”
และยังร่วมมือกับ LVMH บริษัทแม่ของ Louis Vuitton ซึ่งเปรียบเหมือนคู่แข่งทางธุรกิจ
ในการดูแลความเป็นอยู่ของนางแบบ เพราะคนกลุ่มนี้ มักจะถูกละเมิดสิทธิ์ต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง
ซึ่งเรื่องนี้ก็ไปตรงกับความสนใจของ Emma Watson พอดี
เพราะเธอเป็นนักสตรีนิยม และเธอยังเป็นถึง “ทูตสันถวไมตรี” ของ UN Women
ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์การระหว่างประเทศที่อยู่ภายใต้ UN
มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ
อ่านจนถึงตรงนี้ คงไม่มีใครคาดคิดว่า
จากเด็กหญิงตัวน้อย ที่รับบทเป็นเฮอร์ไมโอนี่
ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว
จะเติบโตมาเป็นผู้หญิงที่พยายามผลักดันสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในโลก
ไม่แพ้บทบาทที่เธอเคยได้รับในอดีต
ปิดท้ายด้วยเรื่องที่น่าสนใจ
จริงๆ แล้ว Emma Watson มักจะเลือกรับงานที่แสดงความเป็นตัวเธอ
ไม่เพียงแต่บทบาทการเป็นตัวแทนของสังคม
แต่ยังรวมถึงบทบาทการแสดงในวงการบันเทิงด้วย
ก่อนหน้านี้ Disney เคยเสนอให้เธอรับบท Cinderella ซึ่งเธอก็ได้ปฏิเสธไป
แต่ต่อมา Emma Watson กลับเลือกรับบท Belle ใน Beauty and the Beast
ซึ่งหากดูแล้วตัวละคร Belle จะมีลักษณะนิสัยคล้ายเธอ
ทั้งเรื่องการต่อสู้ทางความคิด ที่ไม่เห็นด้วยกับสังคมชายเป็นใหญ่
รวมถึง Belle ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่และรักการอ่านคล้ายกับเธอ
และล่าสุดเธอยังรับบทในภาพยนตร์ Little Women
ซึ่งสะท้อนถึงประเด็นความเหลื่อมล้ำทางเพศ และสังคมชายเป็นใหญ่
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไม Emma Watson ถึงตกลงร่วมงานที่บริษัท Kering
ในตำแหน่ง ประธานด้านความยั่งยืน..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.