ทำไม “Dark Tourism” การท่องเที่ยวสถานที่หดหู่ ไม่มีวิวสวย ๆ ถึงเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง
Economy

ทำไม “Dark Tourism” การท่องเที่ยวสถานที่หดหู่ ไม่มีวิวสวย ๆ ถึงเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง

11 ส.ค. 2023
ทำไม “Dark Tourism” การท่องเที่ยวสถานที่หดหู่ ไม่มีวิวสวย ๆ ถึงเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง /โดย ลงทุนเกิร์ล
“ทริปเยี่ยมชมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล จุดที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีมากที่สุดในโลก ณ ประเทศยูเครน”
“เปิดกรุสุสานใต้ลาวา เมืองปอมเปอี นครแห่งความตาย ณ ประเทศอิตาลี”
“ท่องเที่ยวป่าอาโอกิกาฮาระ หนึ่งในสถานที่ที่มีผู้คนปลิดชีพมากที่สุดในโลก ณ ประเทศญี่ปุ่น”
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของ “Dark Tourism” หรือทริปการท่องเที่ยวสายดาร์ก ที่กำลังได้รับความนิยม แม้ว่าสถานที่เหล่านี้ จะเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน
ที่น่าสนใจคือ ในปี 2022 ที่ผ่านมา ตลาด Dark Tourism สามารถสร้างมูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท และมีการคาดการณ์ว่าจะแตะถึง 1.5 ล้านล้านบาท ภายในปี 2030
Dark Tourism น่าสนใจอย่างไร ?
แล้วทำไมหลายคนถึงหันมาท่องเที่ยวตามเทรนด์นี้ ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
Dark Tourism คือ การท่องเที่ยวไปในสถานที่ ที่เกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรม สงคราม และความตาย เช่น การกักขัง และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
รวมถึงหายนะทั้งจากภัยพิบัติโดยธรรมชาติและน้ำมือของมนุษย์ ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปถึงเรื่องลี้ลับ เหนือธรรมชาติ
แม้ว่าหลายสถานที่จะไม่มีจุดเก็บภาพความประทับใจ หรือไม่มีวิวสวย ๆ ให้ได้ชื่นชม
แต่สถานที่ท่องเที่ยว Dark Tourism ก็สามารถดึงจุดที่ดูเหมือนจะเสียเปรียบนี้ ให้กลายเป็นจุดแข็งของธุรกิจได้ ด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบ “Storytelling”
หรือการหยิบเรื่องราวในอดีตมาบอกเล่า เชิงให้ความรู้ หรือการพาย้อนรอยความทรงจำ เพื่อให้เข้าใจว่าสถานที่แห่งนี้เคยเกิดอะไรขึ้น และเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ยกตัวอย่างเช่น สุสาน Pere Lachaise ในประเทศฝรั่งเศส สถานที่ฝังร่างของบุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งเต็มไปด้วยเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่หลายคนสนใจ
ส่งผลให้มีการจัดทัวร์ชมสุสาน โดยมีไกด์นำทางมาบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งในแต่ละปี จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมสุสานแห่งนี้ สูงถึง 3 ล้านคน
หรืออีกสถานที่อย่าง ทัวร์ปราสาทต้องคำสาป เอดินบะระ ในประเทศสกอตแลนด์ ที่ใช้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โศกนาฏกรรม และความน่ากลัวของสงครามในสมัยยุคกลาง มาบอกเล่าผ่านการท่องเที่ยว
ซึ่งปราสาทแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องความลี้ลับ และถูกจัดอันดับให้เป็นสถานที่ ที่น่ากลัวที่สุดแห่งหนึ่งในโลก จนสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ ไม่ต่ำกว่าหลักล้านคนต่อปี
นอกจากนี้ยังมีสถานที่อีกหลายแห่ง เช่น กราวนด์ ซีโร สถานที่รำลึกเหตุการณ์ 9/11 และคุกอัลคาทราซ เรือนจำคุมขังนักโทษคดีร้ายแรง ในประเทศสหรัฐฯ, พิพิธภัณฑ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตวลสเลง ในประเทศกัมพูชา
อย่างในประเทศไทย ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวเชิง Dark Tourism เป็นที่รู้จัก เช่น ทางรถไฟสายมรณะ ในจังหวัดกาญจนบุรี นั่นเอง
คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วทำไมนักท่องเที่ยวถึงอยากแพ็กกระเป๋า ออกท่องโลกสายดาร์ก ?
ต้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีคำตอบที่ตายตัว เนื่องจากไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของแต่ละคน ย่อมแตกต่างกันออกไป
แต่ทั้งนี้ก็มีผลสำรวจความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน เกี่ยวกับแรงจูงใจหลัก ในการท่องเที่ยวเชิง Dark Tourism ออกมาดังนี้
-เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ อย่างลึกซึ้ง
-ต้องการแสดงความไว้อาลัย แด่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในอดีต
-อยากซึมซับอารมณ์ความรู้สึก ในสถานที่เหล่านั้น
-มองหาสถานที่แปลกใหม่ ที่มีเรื่องราว มากกว่าแค่ไปแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม
นอกจากนี้ สาเหตุที่เทรนด์ Dark Tourism กระจายไปทั่วโลก ก็มีแรงผลักดันสำคัญมาจาก “สื่อต่าง ๆ”
โดยในปี 2018 ทางสตรีมมิง Netflix ได้ออกฉาย “Dark Tourist” นำเสนอทริปท่องเที่ยว ตามรอยสถานที่แปลก ๆ ในอีกมุมหนึ่งของโลกใบนี้ จนกลายเป็นกระแสในวงกว้าง
ประกอบกับในปี 2019 ทางช่อง HBO ได้ออกฉายซีรีส์เรื่อง “Chernobyl” ตีแผ่ความจริงอันโหดร้าย ของมหันตภัยนิวเคลียร์ระเบิด ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
ซึ่งหลังจากที่ซีรีส์ออกฉายได้ไม่นาน ก็ทำให้บริษัททัวร์ในละแวกเชอร์โนบิล มียอดจองทัวร์ เพิ่มขึ้นถึง 40%
ถึงขั้นที่ว่าในปีนั้น มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมเชอร์โนบิล สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม แม้ Dark Tourism จะเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่น้อย
สิ่งสำคัญคือ ต้องเข้าใจว่าสถานที่ส่วนใหญ่มักเต็มไปด้วยความสูญเสีย รวมถึงความละเอียดอ่อนทางจิตใจ
แม้เหตุการณ์จะผ่านมาแล้ว แต่เชื่อว่าหลายคนคงยังไม่ลืม
ดังนั้น ในฐานะนักท่องเที่ยวที่ดี จึงควรให้ความเคารพและปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของสถานที่ อย่างเหมาะสม
และจะดีที่สุด หากนำเรื่องราวในอดีต กลับมาเรียนรู้ความผิดพลาด และเตือนใจตนเอง
เพื่อให้แน่ใจว่า จุดหมายปลายทางอันน่าหดหู่ที่ได้เดินทางไปเยี่ยมชม จะไม่วนกลับมาซ้ำรอยเดิม..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.