<อัปเดต> รายได้ Starbucks โตเกินคาด สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะขึ้นราคา
Business

<อัปเดต> รายได้ Starbucks โตเกินคาด สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะขึ้นราคา

3 ส.ค. 2022
<อัปเดต> รายได้ Starbucks โตเกินคาด สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะขึ้นราคา
รู้หรือไม่ว่า ก่อนหน้านี้ The Wall Street Journal เคยคาดการณ์ไว้ว่า รายได้ของ Starbucks จะลดลงในช่วงไตรมาสที่ 3 ของบริษัท หรือก็คือ เดือนเมษายน ถึงเดือนมิถุนายน
เนื่องจาก Starbucks ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อ, ต้นทุนแรงงาน และความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจจะเกิดขึ้น
แต่ล่าสุด Starbucks ได้ประกาศผลประกอบการ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2022 ออกมาเป็นที่เรียบร้อย
ซึ่งถือว่า เหนือความคาดหมายของ The Wall Street Journal
แล้วผลประกอบการของ Starbucks ไตรมาสนี้ มีอะไรน่าสนใจบ้าง ? ลงทุนเกิร์ลจะสรุปให้ฟัง
โดยในไตรมาสนี้ Starbucks สามารถทำรายได้ สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในสหรัฐอเมริกา และการปรับขึ้นราคาสินค้า ในตลาดสำคัญอย่าง สหรัฐอเมริกา
สวนทางกับ 2 เชนร้านอาหารที่ใหญ่สุดในโลก อย่าง McDonald's และ Chipotle Mexican Grill ที่รายงานว่า ในไตรมาสล่าสุด ผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา เริ่มใช้จ่ายน้อยลง หรือเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาถูกกว่าเดิม
รวมถึงยอดการมาใช้บริการที่หน้าร้านก็ลดลง
เนื่องจากค่าน้ำมัน และค่าสินค้าอุปโภคที่สูงขึ้น
แต่ทางด้าน​​ Starbucks กลับไม่ได้ประสบกับปัญหาดังกล่าว
และยังไม่มีสัญญาณของการลด การบริโภคในเร็ว ๆ นี้
โดยเฉพาะ “เครื่องดื่มเย็น” ถือเป็นกลุ่มสินค้าที่ทำยอดขายได้โดดเด่นที่สุด
ซึ่งคิดเป็น 75% ของยอดขายเครื่องดื่มในสหรัฐอเมริกา ในไตรมาสนี้
อีกทั้ง “ยอดขายในช่วงเช้า” ยังคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้
เนื่องจากผู้บริโภคกลับมาดำเนินกิจวัตรประจำวัน เหมือนครั้งก่อนเกิดสถานการณ์โควิด 19
สำหรับผลประกอบการ บริษัท Starbucks ไตรมาสที่ 3 ปี 2022
รายได้ 295,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7%
กำไร 33,000 ล้านบาท ลดลง 20.9%
แบ่งสัดส่วนรายได้ของบริษัทออกได้ ดังนี้
ร้านกาแฟที่บริษัทบริหารเอง 81.9%
การให้สิทธิ์ในการบริหารร้านกาแฟ 11.7%
รายได้อื่น ๆ 6.4%
ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 3 บริษัทยังเปิดสาขาใหม่ถึง 318 แห่ง
ทำให้ปัจจุบัน Starbucks มีสาขาทั้งหมด 34,948 แห่งทั่วโลก
โดยเป็นร้านค้าในสหรัฐอเมริกาและจีน รวมกันเป็น 61% ของสาขาทั้งหมด
ซึ่งผลประกอบการในไตรมาสนี้ มีไฮไลต์สำคัญคือ ยอดขายต่อสาขาทั่วโลก ที่เพิ่มขึ้น 3%
โดยยอดขายต่อสาขาที่สหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้น 9%
ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจาก ราคาต่อคำสั่งซื้อโดยเฉลี่ยที่สูงขึ้น
ที่น่าสนใจ คือ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมานี้ บริษัทยังได้ขึ้นราคาสินค้าประมาณ 5% และความนิยมของเครื่องดื่มเย็น ที่ลูกค้ามีแนวโน้มจะดัดแปลงตัวเลือกน้ำเชื่อมหรือนม ลงในเครื่องดื่มเย็นมากกว่าเครื่องดื่มร้อน ซึ่งส่งผลให้ “ราคาโดยรวมของเครื่องดื่มต่อแก้วสูงขึ้น”
รวมถึงจำนวนผู้ใช้งานระบบสมาชิก Starbucks Rewards ในสหรัฐอเมริกา ก็เพิ่มขึ้นถึง 13% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ขณะที่ ยอดขายต่อสาขานอกสหรัฐอเมริกา กลับลดลงถึง 18%
เนื่องจากอุปสงค์ที่ลดลงในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของ Starbucks
หากพิจารณาเฉพาะยอดขายในประเทศจีน จะพบว่าลดลงถึง 44% ในไตรมาสนี้
ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการล็อกดาวน์ และนโยบาย Zero-COVID ที่ทำให้บริษัทดำเนินธุรกิจตามปกติได้ยาก
ซึ่งนอกจากข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิด 19 ในประเทศจีนแล้ว
ทางบริษัทยังต้องประสบกับปัญหาต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ และซัปพลายเชน
รวมถึงค่าแรงสำหรับพนักงานที่สูงขึ้น เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ จนทำให้รายจ่ายของบริษัทสูงขึ้น และเป็นสาเหตุให้กำไรในไตรมาสนี้ลดลง สวนทางกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.