ทำไม "อบเชย" จากเวียดนาม ถึงส่งออกได้มากที่สุดในโลก ?
Business

ทำไม "อบเชย" จากเวียดนาม ถึงส่งออกได้มากที่สุดในโลก ?

13 ก.ค. 2023
ทำไม "อบเชย" จากเวียดนาม ถึงส่งออกได้มากที่สุดในโลก ? /โดย ลงทุนเกิร์ล
หากพูดถึง “อบเชย” หลายคนอาจไม่คุ้นเคย นึกภาพไม่ออกว่ามันคืออะไร ?
แต่หากบอกว่ามันคือ เครื่องเทศที่เป็นเจ้าของกลิ่นหอมในพะโล้ และเป็นกลิ่นเดียวกับแคร์รอตเค้ก หลายคนคงร้อง อ๋อ !
ซึ่งความจริงแล้ว อบเชยยังเป็นหนึ่งในเครื่องเทศ
ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการอาหารโลก
ซึ่งหากเราลองมาดูประเทศ ผู้ส่งออกอบเชย
มูลค่ามากสุด 4 อันดับแรกของโลก จะพบว่า
1.เวียดนาม 9,620 ล้านบาท
2.ศรีลังกา 6,230 ล้านบาท
3.อินโดนีเซีย 6,130 ล้านบาท
4.จีน 5,770 ล้านบาท
จากตัวเลขนี้ หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่า “เวียดนาม” จะเป็นประเทศที่ส่งออกอบเชยมากที่สุดในโลก
โดยมูลค่า 9,620 ล้านบาทนี้ คิดเป็นสัดส่วน 29% ของ
มูลค่าการส่งออกอบเชยทั้งหมดเลยทีเดียว
แล้วสงสัยกันไหมว่า อบเชยจากเวียดนามมีดีอะไร ?
ทำไมถึงส่งออกได้มากที่สุดในโลก ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกัน
เรามาทำความรู้จักกับ “อบเชย” กันก่อนสักนิด
อบเชย คือเปลือกไม้ชั้นในของต้นอบเชย
โดยต้องแกะเปลือกไม้ชั้นนอกออก จากนั้นขูดเปลือกไม้ชั้นในให้เป็นแผ่นยาว ม้วนเป็นแท่ง แล้วค่อยนำไปตากแห้ง
จากขั้นตอนเหล่านี้ ทำให้หน้าตาของอบเชย มีลักษณะเป็นแท่งม้วน สีน้ำตาลแดง ยาวประมาณหนึ่งคืบ
ส่วน “อบเชยผง” จะเป็นการนำอบเชยแท่งมาบดอีกที เพื่อให้สะดวกในการใช้ประกอบอาหาร
ซึ่งลักษณะเด่นของอบเชยที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือ “กลิ่น” ที่หอมเตะจมูก และมีเอกลักษณ์
อบเชย จึงไม่เพียงนิยมนำไปใช้ในการประกอบอาหารเท่านั้น แต่ยังนิยมนำไปใช้แต่งกลิ่นสินค้าอุปโภค เช่น โลชัน หรือยาสีฟัน
ในส่วนสายพันธุ์ของอบเชยนั้น สามารถแบ่งเป็น 4 สายพันธุ์หลัก ตามประเทศที่เพาะปลูก ได้แก่
-อบเชยศรีลังกา ในประเทศศรีลังกา
-อบเชยจีน ในประเทศจีน
-อบเชยชวา ในประเทศอินโดนีเซีย
-อบเชยญวน ในประเทศเวียดนาม
โดยในบรรดา 4 สายพันธุ์นี้ อบเชยศรีลังกา ขึ้นชื่อว่าเป็น “ต้นตำรับ” ของอบเชย เพราะมีกลิ่นที่หอมละมุน คล้ายดอกไม้ อมกลิ่นส้ม และมีรสชาติหวานนิด ๆ
นอกจากนี้ ยังมีเนื้อที่เปราะ ทำให้ใช้งานและบดเป็นผงได้ง่ายกว่า ในขณะเดียวกัน ก็มีราคาแพงที่สุดด้วย
ส่วนอีก 3 สายพันธุ์อย่างอบเชยจีน, อบเชยชวา และอบเชยญวนนั้น ราคาถูกลงมา มีกลิ่นที่ฉุนและเผ็ดกว่าอบเชยศรีลังกา แถมมีเนื้อที่แข็งและเหนียว ทำให้ต้องใช้เครื่องบด เพื่อแปรรูปเป็นผง
หลังจากรู้จักอบเชยทั้ง 4 สายพันธุ์แล้ว เราน่าจะคลายความสงสัยกันแล้วว่า ทำไมทั้ง 4 ประเทศ ล้วนเป็นแหล่งแปรรูปและส่งออกอบเชยมากที่สุดของโลก
โดยก่อนหน้านี้ ศรีลังกาครองแชมป์ส่งออกอันดับ 1 มาโดยตลอด จนกระทั่งช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกของอบเชยศรีลังกา กลับค่อย ๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งปัจจัยที่ทำให้การส่งออกลดลงนั้น มีหลายสาเหตุ อ้างอิงจาก สหประชาชาติ เราจะสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้
1.ราคาของอบเชยศรีลังกา แพงกว่าอบเชยจากประเทศคู่แข่ง
2.ปัญหาเรื่องความสะอาด
ในปี 2004 อบเชยศรีลังกาที่ส่งออกไปยังยุโรป เจอปัญหาตรวจพบสารเคมีปนเปื้อน ทำให้ไม่ผ่านมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัย
3.ขาดแคลนแรงงาน ทำให้ปริมาณการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด
เรื่องนี้เกิดจากปัญหาด้านเศรษฐกิจและการเมือง จนประชาชนแห่กันอพยพออกนอกประเทศ ซึ่งส่งผลให้ขาดแคลนแรงงาน และปริมาณการผลิตลดลงตามไปด้วย
แน่นอน เมื่อสินค้าที่ดีที่สุดขาดตลาด
ทำให้สินค้าที่มีคุณภาพรองลงมา ขายดีขึ้น
โดยเฉพาะอบเชยเวียดนาม ซึ่งมีคุณภาพรองลงมาจากอบเชยศรีลังกา
โดยอบเชยจากเวียดนาม หรืออบเชยญวนนั้น มีน้ำมันหอมระเหยมากกว่าอบเชยชวาและจีน ซึ่งทำให้อบเชยญวนมีกลิ่นและรสชาติ ที่ชัดเจนกว่าอบเชยอีก 2 สายพันธุ์
ประกอบกับเวียดนามมีศักยภาพภายในประเทศ ที่จะเพิ่มกำลังการผลิต และนั่นส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของอบเชยเวียดนามค่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ถ้าดูสถิติ มูลค่าการส่งออกอบเชย ของเวียดนาม อ้างอิงโดย OEC จะพบว่า มูลค่าการส่งออกเริ่มค่อย ๆ สูงขึ้นตั้งแต่ปี 2016
โดยในปี 2016 เวียดนามส่งออกอบเชย เป็นอันดับ 4 ของโลก ยังตามหลังศรีลังกา อินโดนีเซีย และจีน
แต่ในปี 2018 และปี 2019 เวียดนามตีตื้นขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 และในที่สุดปี 2020 ก็สามารถคว้าอันดับ 1 มาได้
หากเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกปี 2016 กับข้อมูลส่งออกล่าสุดปี 2021 แล้ว จะเห็นว่า ในระยะเวลาเพียง 5 ปี มูลค่าการส่งออกอบเชยของเวียดนาม พุ่งสูงขึ้นถึง 2.3 เท่าเลยทีเดียว
แล้วเราได้อะไรจากเรื่องนี้ ?
จากเรื่องนี้เราจะเห็นว่า ความพร้อมในการผลิต ก็มีความสำคัญไม่แพ้คุณภาพของสินค้าเลยทีเดียว
เหมือนกับเวียดนาม ที่แม้คุณภาพของอบเชยจะเป็นรองศรีลังกา แต่มีความพร้อมในการผลิต ที่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด
จนทำให้ในวันนี้ เวียดนาม ได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกอบเชยอันดับ 1 ของโลกไปเป็นที่เรียบร้อย..
--------------------------------
Presented by กลุ่มบริษัทธนจิรากรุ๊ป เดินหน้าขยายธุรกิจหาญ เวลเนสแอนด์ฮอสพิทอลลิตี้ (HARNN Wellness & Hospitality) ครอบคลุมทั้งเวลเนสและสปาภายในประเทศและต่างประเทศในระดับ Regional สร้างให้แบรนด์ไทยเป็นที่รู้จักและสร้างความภูมิใจในระดับสากลรวมกว่า 16 สาขาทั่วภูมิภาค
https://www.facebook.com/TANACHIRA-GROUP-174055739828807/
#TANACHIRA #HARNN #SCapebyHARNN
--------------------------------
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.