Oishii สตาร์ตอัป ที่ขายสตรอว์เบอร์รีลูกละ 300 บาท จนระดมทุนได้ 1,800 ล้าน
Business

Oishii สตาร์ตอัป ที่ขายสตรอว์เบอร์รีลูกละ 300 บาท จนระดมทุนได้ 1,800 ล้าน

2 เม.ย. 2024
Oishii สตาร์ตอัป ที่ขายสตรอว์เบอร์รีลูกละ 300 บาท จนระดมทุนได้ 1,800 ล้าน /โดย ลงทุนเกิร์ล
ถ้าต้องจ่ายเงิน 300 บาท เพื่อสตรอว์เบอร์รี 1 ลูก ทุกคนจะซื้อหรือไม่คะ ?
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วในสหรัฐอเมริกา
โดยเจ้าของสตรอว์เบอร์รีลูกละ 300 บาท ก็คือ Oishii
สตาร์ตอัป ที่สามารถระดมทุนไปได้กว่า 1,800 ล้านบาท
แล้ว Oishii ทำอย่างไร ถึงขายสตรอว์เบอร์รีได้ราคานี้ ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
คุณ Hiroki Koga เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Oishii โดยก่อนหน้าที่จะมาทำบริษัทเป็นของตัวเอง เขาเคยทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านฟาร์มแนวตั้ง หรือการปลูกพืชเป็นชั้น ๆ ที่ญี่ปุ่น
จนต่อมาในปี 2015 เขาก็ได้มีโอกาสมาเรียนต่อในหลักสูตร MBA ที่สหรัฐอเมริกา
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เขาสังเกตได้เมื่อมาถึงที่สหรัฐอเมริกา ก็คือลูกสตรอว์เบอร์รีที่ขายอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ต มีทั้งขนาดที่ใหญ่ และมีสีสันมันวาว ดูน่าอร่อยเป็นอย่างมาก
แต่เรื่องนี้กลับสวยแต่รูป จูบไม่หอม
เพราะเมื่อลองทานเข้าไป เขาก็รู้สึกว่าเนื้อของสตรอว์เบอร์รีไม่ฉ่ำน้ำ รวมถึงไม่ค่อยมีรสชาติ
พอเรื่องเป็นแบบนี้ทำให้เมื่อคุณ Hiroki Koga เรียนจบในปี 2017
เขาจึงได้ตัดสินใจเริ่มทำฟาร์มสตรอว์เบอร์รีเป็นของตัวเอง
โดยเขาได้นำพันธุ์สตรอว์เบอร์รี จากบริเวณ “เจแปนแอลป์” มาปลูกด้วยวิธีการทำฟาร์มแบบแนวตั้ง (Vertical Farming) ที่สหรัฐอเมริกา
รวมถึงเป็นการปลูกพืชด้วยระบบปิด ทำให้เขาสามารถควบคุมแสงแดด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อุณหภูมิ ความชื้น และสารอาหาร จึงสามารถจำลองพื้นที่การปลูกได้ โดยไม่ต่างจากวันที่อากาศดีที่สุด ในประเทศญี่ปุ่นเลย
อย่างไรก็ตามในช่วงปี 2017 การทำฟาร์มแบบแนวตั้ง ยังนิยมใช้กับการปลูกพืชใบเขียว ทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกสตรอว์เบอร์รีด้วยวิธีนี้ แทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ
ทั้งคุณ Hiroki Koga และคุณ Brendan Somerville ผู้ร่วมก่อตั้ง จึงต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม ไปกับการศึกษา และค้นหาวิธีการสร้างสภาพแวดล้อม ที่เหมาะสมกับการปลูกสตรอว์เบอร์รีขึ้นมา
ที่น่าสนใจก็คือ คุณ Hiroki Koga ยังมีการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาปรับใช้กับฟาร์มแนวตั้งนี้ ตั้งแต่การควบคุมสภาพแวดล้อม มีหุ่นยนต์ที่คอยดูแลต้นสตรอว์เบอร์รี รวมถึงมีระบบที่สามารถให้ผึ้งเข้ามาผสมเกสรได้ด้วย
ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นสตรอว์เบอร์รีแสนอร่อย จากฟาร์มที่สะอาดกว่า แถมยังให้ผลผลิตตลอดทั้งปี
ซึ่งคุณ Hiroki Koga ตั้งชื่อว่า “Omakase berry” เนื่องจากเขามองว่า นี่คือสิ่งที่ดีที่สุด ที่เขานำเสนอมาให้ทุกคนได้ทาน เหมือนกับเชฟที่คัดสรรสิ่งดี ๆ มาให้กับลูกค้า
โดยจุดเด่นของ Omakase berry คือการมีกลิ่นที่หอม และให้รสชาติหวานเป็นพิเศษ
ซึ่งหากอ้างอิงจากค่า Brix หรือหน่วยการวัดความหวาน คือปริมาณน้ำตาลในของเหลว
สตรอว์เบอร์รีทั่วไป จะมีระดับความหวานอยู่ที่ 7-8 Brix เท่านั้น
แต่ Omakase berry จะมีระดับความหวานอยู่ที่ 10-15 Brix เลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้ส่งผลให้สตรอว์เบอร์รีของ Oishii มีราคาสูงถึง 1,800 บาทต่อกล่องเลยทีเดียว
โดย 1 กล่องจะมีสตรอว์เบอร์รี 6 ลูก คิดแล้วก็มีราคาต่อลูกสูงถึง 300 บาท
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีลูกค้าที่อยากลิ้มลองรสชาติสตรอว์เบอร์รีของ Oishii จนบริษัทผลิตไม่ทัน แม้ปัจจุบัน Oishii จะมีโรงเพาะปลูกอยู่ทั้งหมด 3 แห่งในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ตาม
และหนึ่งในนั้น ก็คือที่นิวเจอร์ซีย์ ซึ่งถือเป็นฟาร์มแนวตั้ง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่ประมาณ 6,870 ตารางเมตร
ที่น่าสนใจคือในปี 2019 บริษัทสามารถระดมทุนไปได้แล้วกว่า 1,800 ล้านบาท โดยมีผู้ลงทุนทั้งจากประเทศญี่ปุ่น และ Silicon Valley เพื่อนำเงินมาขยายโรงงาน รวมถึงนำมาวิจัย พัฒนาสตรอว์เบอร์รีสายพันธุ์อื่น ๆ และขยายไปยังผลไม้ประเภทอื่น เช่น องุ่น มะเขือเทศ เมลอน
ซึ่งนอกจากการส่งต่อความอร่อยให้กับลูกค้าแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่บริษัทให้ความใส่ใจก็คือ “การรักษ์โลก”
เนื่องจากฟาร์มของ Oishii เป็นระบบปิด จึงทำให้มีการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ น้อยกว่า เมื่อเทียบกับการทำฟาร์มแบบปกติ
รวมถึงตัวฟาร์มยังตั้งอยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองมากนัก ส่งผลให้การขนส่งใช้ระยะเวลาที่สั้นลง ทำให้มีการใช้พลังงานจากการขนส่งน้อยลงอีกด้วย
หรือหากมองในอีกมุมหนึ่งคือ แม้จะต้องจ่ายในราคาสูง
แต่นอกจากลูกค้าจะได้บริโภคสตรอว์เบอร์รีที่มีคุณภาพแล้ว ยังมีส่วนช่วยลดการสร้างมลพิษที่ทำร้ายโลกอีกด้วย
อย่างไรก็ตามคุณ Hiroki Koga ก็อยากให้ทุกคน สามารถเข้าถึงผลไม้ที่มีคุณภาพดีได้
เขาจึงเริ่มวางขายสตรอว์เบอร์รีไซซ์ใหม่ ที่มีขนาดลูกเล็กลง ในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น
อ่านมาถึงตรงนี้ก็น่าเสียดาย ที่บ้านเรายังไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง Omakase berry จาก Oishii
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ให้มุมมองในการขายสินค้าที่น่าสนใจ
แม้ว่าการขายเพื่อเน้นปริมาณอาจจะสร้างรายได้ในจำนวนมาก แต่การใส่ใจในคุณภาพ ถึงจะทำให้ได้ปริมาณสินค้าไม่มากเท่า
แต่ก็สามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้ และทำให้เราได้กำไรเพิ่มอยู่ดี
ที่สำคัญ การเน้นคุณภาพ ยังทำให้เรามีความแตกต่างจากคู่แข่ง รวมถึงเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะติดใจ และกลับมาเป็นลูกค้าของเราซ้ำ ๆ อีกด้วย..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.