Da Bomb Bath Fizzers สบู่แช่ตัวยอดขาย 600 ล้าน ที่เริ่มต้นจากห้องครัว
Business

Da Bomb Bath Fizzers สบู่แช่ตัวยอดขาย 600 ล้าน ที่เริ่มต้นจากห้องครัว

5 ส.ค. 2021
Da Bomb Bath Fizzers สบู่แช่ตัวยอดขาย 600 ล้าน ที่เริ่มต้นจากห้องครัว /โดย ลงทุนเกิร์ล
รู้หรือไม่ว่าเวลาที่ใช้ในการอาบน้ำของคนทั่ว ๆ ไปนั้น เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5-10 นาทีสำหรับอาบฝักบัว
ส่วนการแช่น้ำจะอยู่ที่ 5-15 นาที ซึ่งนี่เป็นเวลาที่กำลังพอดีสำหรับการทำความสะอาดร่างกายทั้งหมด
ถึงแม้เวลาเหล่านี้จะดูไม่นาน แต่มันก็สร้างความเบื่อหน่ายให้ใครอีกหลายคน
โดยเฉพาะเด็ก ๆ ทั้งหลาย ที่ยังมองว่าการอาบน้ำเป็นช่วงเวลาน่าเบื่อ จนกลายเป็นว่า บางคนถึงกับไม่ยอมอาบน้ำเลย
และเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นกับเด็กสาว 2 คนในประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะพวกเธอก็รู้สึกว่าการอาบน้ำมันน่าเบื่อ ทำให้พวกเธอพยายามสรรหาอุปกรณ์ที่จะมาช่วยทำให้พวกเธอสนุกกับการอาบน้ำมากขึ้น
จนสุดท้ายพวกเธอก็ได้กลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจบาธบอมบ์ที่มียอดขายถึง 600 ล้านบาท
แล้วเรื่องราวของสองพี่น้องผู้ก่อตั้งธุรกิจยอดขายร้อยล้านนี้เป็นอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ย้อนกลับไปในตอนที่พี่น้อง Isabel และ Caroline Bercaw ยังมีอายุเพียงแค่ 10 และ 11 ปี
พวกเธอเป็นเด็กที่ไม่ชอบอาบน้ำเท่าไรนัก เพราะรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อ
ทำให้พวกเธอเริ่มมองหาสิ่งที่จะช่วยให้การอาบน้ำนั้นไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ “บาธบอมบ์” หรือ สบู่แช่ตัวอาบน้ำ ที่มักจะมีสีสันสดใส มีประกายวิบวับ และมีกลิ่นหอม ช่วยเพิ่มลูกเล่นในการอาบน้ำ
แน่นอนว่าในช่วงแรกมันก็พอที่จะทำให้การอาบน้ำสนุกขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็ยังไม่ถูกใจพี่น้องทั้งสองคนอยู่ดี
เนื่องจากบาธบอมบ์บางยี่ห้อที่มีขายอยู่ ก็มักจะเหนียว ๆ และดูไม่ค่อยสวยสักเท่าไร ทำให้วันหนึ่งในฤดูร้อนขณะที่พวกเธอกำลังเบื่อ ทั้งสองคนจึงได้ตัดสินใจที่จะทำบาธบอมบ์ขึ้นมาเอง
และเรื่องนี้ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Da Bomb Bath Fizzers
พวกเธอเริ่มต้นการทดลองในห้องครัว จากการผสมเบกกิ้งโซดา กรดซิทริก น้ำมันหอมระเหย รวมถึงใส่กิมมิกเล็ก ๆ ลงไปในบาธบอมบ์ของพวกเธอด้วย
เพราะพวกเธออยากที่จะทำบาธบอมบ์ให้มันสนุกมากขึ้น กว่าการแค่เอามาแช่น้ำ แล้วเจ้าก้อนบาธบอมบ์ก็แค่หายไปเฉย ๆ
เมื่อลองทำออกมาจนถูกใจแล้ว พวกเธอก็ได้นำเอาบาธบอมบ์ไปให้กับคนรอบ ๆ ตัวทดลองใช้
และเริ่มจากทำเป็นงานอดิเรกก่อน
จนเมื่อทุกคนรอบตัวเริ่มถามหาเจ้าบาธบอมบ์นี้ขึ้นเรื่อย ๆ
พวกเธอจึงตัดสินใจเอาบาธบอมบ์ที่ทำนี้ ไปลองขายใน Uptown Art Fair ซึ่งเป็นเหมือนตลาดที่ให้คนสามารถไปออกบูธขายสินค้าได้
โดยพวกเธอได้ยืมเงินจากคุณแม่จำนวน 5,000 บาท เพื่อนำมาเริ่มต้นทำบาธบอมบ์จำนวน 150 ลูกไปขายในงานนั้น และกลายเป็นว่าพวกเธอก็ขายสินค้าหมดทุกชิ้นตั้งแต่วันแรกที่ไปวางขาย
หลังจากนั้นพวกเธอก็ยังไปร่วมงานขายอีกเป็นครั้งที่สอง ซึ่งในการไปขายครั้งที่สองนี้ ก็ได้มีเจ้าของร้านเสริมสวยในท้องถิ่นสนใจ ที่จะนำเอาสินค้าของพวกเธอไปขายที่ร้านของเขา
และทำให้จากบาธบอมบ์ที่ขายแค่ในงานแฟร์ กลายมาเป็นธุรกิจที่จริงจังมากขึ้นในปี 2015 ภายใต้ชื่อ Da Bomb Bath Fizzers อย่างเป็นทางการ
หลังจากนั้นกิจการของพวกเธอก็ค่อย ๆ เริ่มขยายกว้างมากขึ้นจากการบอกปากต่อปาก รวมถึงการได้ไปออกขายตามงานแฟร์ต่าง ๆ ก็ทำให้แบรนด์เริ่มกลายเป็นที่รู้จัก และมีผู้ประกอบการอีกหลายคนสนใจที่จะซื้อสินค้าจากพวกเธอไปขายต่อ
โดยดีลที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้นก็คือ ร้าน Target ซึ่งเป็นเชนร้านค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่สนใจจะนำสินค้าของพวกเธอไปวางขายในร้านกว่า 1,800 สาขา
แล้วบาธบอมบ์ของ Da Bomb Bath Fizzers ต่างจากแบรนด์อื่นในท้องตลาดอย่างไร ?
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าพวกเธอต้องการที่จะทำให้การใช้บาธบอมบ์นั้นสนุกมากขึ้น กิมมิกของ Da Bomb Bath Fizzers จึงเป็นการที่บาธบอมบ์แต่ละลูกจะมีลูกเล่นที่แตกต่างกันออกไป
เช่น รุ่น Earth Bomb ที่เมื่อตัวบาธบอมบ์ละลายจนหมด ตรงกลางก็จะมีของแถมน่ารัก ๆ แถมมาให้
หรืออย่าง Disco Bomb เอง เมื่อบาธบอมบ์ละลายจนหมด ก็จะปรากฏกล่องใสที่สามารถเรืองแสงได้เมื่ออยู่ในน้ำ สร้างสถานการณ์เสมือนกำลังอยู่ในห้องดิสโกจริง ๆ
สิ่งเหล่านี้จึงเป็นการสร้างความตื่นเต้นเล็ก ๆ ที่ช่วยทำให้แบรนด์ขายได้
โดยตอนนี้ Da Bomb Bath Fizzers ก็ได้กลายเป็นบริษัท ที่มีพนักงานกว่า 200 คน ไปเป็นที่เรียบร้อย
มีสินค้าวางขายที่หน้าร้านประมาณ 25,000 ร้านทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา
มีโกดังสำหรับจัดเก็บและผลิตสินค้าเป็นของตัวเอง
นอกจากนั้น Da Bomb Bath Fizzers ยังกวาดยอดขายในปี 2019 ไปได้มากถึง 600 ล้านบาท ซึ่งจากการคาดการณ์ของบริษัท ตัวเลขนี้ก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอีกในปี 2020
และที่น่าสนใจที่สุดคือ ปัจจุบันผู้ก่อตั้งทั้งสอง Isabel และ Caroline Bercaw มีอายุเพียง 18 และ 19 ปี ซึ่งแปลว่าที่ผ่านมา พวกเธอต้องเรียนควบคู่ไปกับการทำธุรกิจ
ดังนั้นสำหรับหลาย ๆ คนที่ถามว่าพวกเธอแบ่งเวลาได้อย่างไร
คำตอบก็คือพวกเธอเข้าเรียน แบบที่เรียกว่า “On The Job” ทำให้เข้าเรียนเพียงครึ่งวันเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือก็แบ่งมาลงกับการทำธุรกิจ
ดังนั้นจึงไม่แปลก ที่ทั้งสองจะไม่มีวันหยุดเหมือนเด็กคนอื่น ๆ
แต่ก็โชคดีที่พวกเธอได้รับแรงสนับสนุนสำคัญจากครอบครัว
โดยคุณแม่ได้มารับหน้าที่เป็น CEO คอยดูแลและจัดการงานต่าง ๆ ให้
ส่วนคุณพ่อก็ลาออกจากงานประจำ เพื่อมารับตำแหน่ง CFO และ COO ที่ดูแลเรื่องการเงินและการดำเนินงานอื่น ๆ ของบริษัท
ซึ่ง Caroline ก็เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า
“เธอโชคดีมาก ที่มีทั้งครอบครัวสามารถร่วมงานกันได้เป็นอย่างดี”
และคำว่า “ทั้งครอบครัว” นี้ก็หมายความตามนั้นจริง ๆ
เพราะแม้แต่น้องชายคนเล็กวัย 11 ปี ก็ยังมีส่วนร่วมในการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ด้วย
ปิดท้ายด้วยแนวคิดที่น่าสนใจของ ผู้ก่อตั้งตัวน้อย
เมื่อมีคนมาขอให้พวกเธอให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการ
“ลงมือทำเลย แน่นอนว่ามันจะยากและเราจะต้องพบอุปสรรคไปตลอดทาง
แต่สำหรับพวกเธอกลับมองว่า ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราหลงใหลที่จะทำ อย่างไรมันก็คุ้มค่า
ซึ่งบางครั้งเราอาจจะต้องเสียสละ
ดังนั้นการตัดสินใจทุกครั้ง จึงต้องคิดอย่างรอบคอบและชาญฉลาด
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
อย่าให้ความกลัว มาหยุดยั้งไม่ให้เราลงมือทำ”
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.