“รองเท้าส้นสูง” จากแฟชั่นยอดนิยมของผู้ชาย สู่ ไอเทมประจำกายของผู้หญิง
Fashion

“รองเท้าส้นสูง” จากแฟชั่นยอดนิยมของผู้ชาย สู่ ไอเทมประจำกายของผู้หญิง

30 ม.ค. 2022
“รองเท้าส้นสูง” จากแฟชั่นยอดนิยมของผู้ชาย สู่ ไอเทมประจำกายของผู้หญิง /โดย ลงทุนเกิร์ล
รองเท้าส้นสูง นับเป็นเครื่องแต่งกาย ที่สร้างความมั่นใจในทุก ๆ วัน สำหรับผู้หญิงหลายคน โดยเฉพาะในโอกาสพิเศษ
แต่รู้หรือไม่ว่าเมื่อแรกเริ่มนั้น รองเท้าส้นสูงนั้นถูกใส่โดย “ผู้ชาย”
แล้วเรื่องราวของรองเท้าส้นสูง กว่าจะมาถึงวันนี้นั้นมีความเป็นมาอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
เรื่องราวของรองเท้าส้นสูงที่เราคุ้นเคยนั้น ต้องย้อนกลับไปเมื่อราว 1,000 ปีที่แล้ว กองทหารม้าของเปอร์เซียหรือประเทศอิหร่านที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน ได้พัฒนารองเท้าส้นสูงขึ้นมา เพื่อล็อกกับโกลนม้า ช่วยให้เราทรงตัวอยู่บนหลังม้าได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะขี่ควบด้วยความเร็ว หรือยกตัวลอยขึ้นมายิงธนู
รองเท้าส้นสูง จึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
โดยในสมัยนั้น การยกส้นรองเท้าขึ้นมา 1 นิ้วคือมาตรฐานทั่วไป
ซึ่งเมื่อคณะทูตของเปอร์เซียได้สวมใส่รองเท้าส้นสูงเดินทางไปยุโรป ความงามสง่าและน่าตื่นตาตื่นใจของมัน ก็ได้ไปเตะตาบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงในยุโรปเข้าอย่างจัง
เพราะแม้ในยุโรปจะมีรองเท้าที่ยกพื้นขึ้นมาเหมือนกัน แต่ก็เป็นการยกพื้นขึ้นมาทั้งหมด
คล้าย ๆ กับเกี๊ยะของชาวญี่ปุ่น ไม่ใช่รูปแบบของรองเท้าส้นสูง ที่ยกแค่ส่วนส้นขึ้นมาแบบที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน
และในเวลาต่อมา การใส่รองเท้าส้นสูง ก็เริ่มกลายมาเป็นที่นิยมในหมู่ของชายชนชั้นสูงในยุโรป
โดยนอกจากช่วยให้ดูงามสง่าแล้ว มันยังได้กลายเป็นเครื่องบ่งบอกถึงสถานะทางสังคม และความเป็นชายในยุคนั้นด้วย
เพราะคนที่จะใส่รองเท้าส้นสูงได้ คือคนที่มีศักดินาจนรวยในระดับที่ไม่ต้องทำงานแล้ว
หรือในภาษาปัจจุบัน ก็คือผู้มีอิสรภาพทางการเงิน นั่นเอง
และแน่นอนว่าเจ้าแห่งวงการแฟชั่นอย่างพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้ที่ปฏิรูปให้ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศแห่งสินค้าแฟชั่นและสินค้าหรูหรา ก็ทรงโปรดปรานรองเท้าส้นสูงมากไม่แพ้ใครในยุโรป
โดยส้นสูงสีแดงถือเป็นรองเท้าพิเศษประจำพระราชวังแวร์ซายเลยก็ว่าได้
ที่สำคัญ ไม่ใช่ใครจะใส่ก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่ได้รับสิทธิ์จากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เท่านั้น
นอกจากนั้น ยังมีการกำหนดขีดความสูงของส้นรองเท้าไว้ให้แต่ละชนชั้นโดยเฉพาะ
-ครึ่งนิ้วสำหรับคนทั่วไป
-หนึ่งนิ้วสำหรับชนชั้นกลาง
-หนึ่งนิ้วครึ่งสำหรับอัศวิน
-สองนิ้วสำหรับขุนนาง
-และสองนิ้วครึ่งสำหรับราชสกุล
พูดง่าย ๆ ก็คือ ส้นยิ่งสูงเท่าไร ผู้สวมใส่ก็ยิ่งเป็นผู้มีชั้นวรรณะในระดับสูงขึ้นเท่านั้น
และในช่วงนี้นี่เอง ที่การใส่รองเท้าส้นสูง เริ่มกระจายไปในหมู่สุภาพสตรีเช่นกัน
ช่วงแรก รองเท้าส้นสูงของทั้งชายและหญิงจะมีลักษณะเหมือนกัน ต่างเพียงแค่การตกแต่งหรือประดับประดาเท่านั้น
จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 18 ที่รองเท้าส้นสูงเริ่มมีการแบ่งเพศอย่างชัดเจน โดยรองเท้าส้นสูงของผู้หญิงเริ่มมีรูปทรงที่เพรียวมากขึ้น ยกขึ้นสูงกว่า และมีการประดับประดามากกว่าเมื่อเทียบกับรองเท้าส้นสูงของฝ่ายชาย
แต่เมื่อความนิยมในรองเท้าส้นสูงของผู้หญิงเติบโตขึ้น กลับกลายเป็นว่าผู้ชายก็เริ่มใส่มันน้อยลงไปเองเช่นกัน
บวกกับคลื่นของการปฏิวัติที่กำลังแผ่ขยายไปทั่วโลกในตอนนั้น
รองเท้าส้นสูงที่เคยเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของระบบศักดินา จึงได้กลายเป็นเครื่องแต่งกายที่คนทั่วไปไม่อยากข้องเกี่ยวด้วย ความนิยมในรองเท้าส้นสูงจึงได้หายไปอยู่พักใหญ่
อย่างไรก็ตาม รองเท้าส้นสูงนั้นได้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และกลายเป็นที่รู้จักสำหรับคนทั่วไป ผ่านการโปรโมตอย่างหนักจากสื่อต่าง ๆ รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์ในยุคนั้น ว่าแสดงถึงภาพลักษณ์ที่ช่วยทำให้ผู้หญิงดูเซ็กซี่
ซึ่งตัวอย่างเด่น ๆ ก็คือ คุณมาริลิน มอนโร นั่นเอง
รวมถึงในด้านของฝ่ายชายเอง รองเท้าส้นสูงก็เริ่มกลับมามีบทบาทอีกครั้งในช่วงยุค 60-70 เมื่อ The Beatles นำเอารองเท้าส้นสูงแบบ Cuban Heel หรือก็คือรองเท้าส้นสูงทรงโค้ง มาใส่ทัวร์แสดงคอนเสิร์ต
จนมาถึงในปัจจุบัน การใส่รองเท้าส้นสูงได้กลายเป็นภาพลักษณ์ทางด้านความงาม แฟชั่น หรือความเป็นมืออาชีพมากกว่าการสื่อความหมายทางเพศ หรือแม้แต่ศักดินาที่มันเคยเป็นไปแล้ว
และเมื่อแฟชั่นเริ่มมีความเป็นกลางทางเพศมากขึ้น หลายแบรนด์ดังอย่าง Christian Louboutin หรือ Saint Laurent ที่เคยทำแต่รองเท้าส้นสูงสำหรับผู้หญิง ก็เริ่มที่จะทำรองเท้าส้นสูงไซซ์ใหญ่ขึ้น และมีรูปแบบที่มีความเป็นกลางทางเพศมากขึ้น ตามกระแสของโลก ณ ตอนนี้
เราจะเห็นได้ว่าเรื่องราวการเดินทางเกือบ 1 สหัสวรรษของรองเท้าส้นสูงนั้น เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง ปรับตัว ไม่ต่างอะไรกับสิ่งต่าง ๆ ที่สามารถอยู่รอดมาได้อย่างยาวนานบนโลกใบนี้..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.