รู้จัก Grasse จากเมืองที่มีกลิ่นเหม็นซากสัตว์ สู่ เมืองหลวงแห่งน้ำหอมโลก
Business

รู้จัก Grasse จากเมืองที่มีกลิ่นเหม็นซากสัตว์ สู่ เมืองหลวงแห่งน้ำหอมโลก

23 ก.พ. 2022
รู้จัก Grasse จากเมืองที่มีกลิ่นเหม็นซากสัตว์ สู่ เมืองหลวงแห่งน้ำหอมโลก /โดย ลงทุนเกิร์ล
“44.44 ตารางกิโลเมตร” คือพื้นที่ทั้งหมดในเมือง Grasse (กรัส)
ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า “สนามบินสุวรรณภูมิ” เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ที่น่าสนใจคือ เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ยังมีฉายาว่า “เมืองหลวงแห่งน้ำหอมของโลก” ที่มีความสำคัญทั้งทางประวัติศาสตร์ และยังเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทน้ำหอมระดับโลกหลายแห่ง
อีกทั้ง Grasse ยังเป็นบ้านเกิดของนักปรุงน้ำหอมคนสำคัญ อย่าง
คุณ Jacques Cavallier Belletrud หัวหน้านักปรุงน้ำหอมแบรนด์ Louis Vuitton
คุณ Jean-Claude Ellena หัวหน้านักปรุงน้ำหอมคนแรกของ Hermès
คุณ François Demachy อดีตหัวหน้านักปรุงน้ำหอมของ Dior และยังเคยทำงานให้กับ CHANEL นานถึง 20 ปี
แล้วทำไมเมือง Grasse แห่งนี้ถึงสำคัญต่ออุตสาหกรรมน้ำหอมทั่วโลก ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
เรื่องนี้เราต้องย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 16
ในขณะนั้น Grasse ไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองแห่งน้ำหอม แต่คนทั่วยุโรปจดจำ Grasse จากการเป็นเมืองแห่ง “เครื่องหนัง” ที่คละคลุ้งด้วย “กลิ่นซากสัตว์” ผสมกับ “กลิ่นสารเคมี” จากการฟอกหนัง
ประกอบกับว่า พระราชินีของฝรั่งเศส ในช่วงเวลานั้น ก็คือ “แคเทอรีน เดอ เมดีชี” ที่สืบเชื้อสายมาจากอิตาลี
โดยที่อิตาลีมีการใช้ “ถุงมือหนังที่มีกลิ่นหอม” กันอย่างแพร่หลาย
ดังนั้น เมื่อพระองค์ต้องย้ายมาอยู่ฝรั่งเศสจึงได้นำ “ถุงมือหอม” ติดตัวมาด้วย และยังแนะนำให้คนใกล้ชิดได้รู้จัก รวมไปถึงยังได้ช่างทำถุงมือหอมให้พระองค์อีกด้วย
นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ ผู้ผลิตถุงมือรายหนึ่งในเมือง Grasse คิดค้นวิธีดับกลิ่นเหม็นของหนังสัตว์ ด้วยการนำดอกไม้ ไปแช่ในไขมันหรือน้ำมันที่ได้จากสัตว์ เพื่อดึงเอากลิ่นหอมจากดอกไม้ออกมา และเมื่อผ่านไป 2 เดือน ก็จะได้น้ำหอม สำหรับทำให้ถุงมือหอม
ซึ่งเขาได้ถวายถุงมือนี้ให้กับแคเทอรีน เดอ เมดีชี
และหลังจากนั้นลูกค้าหลักของพวกเขาก็กลายมาเป็นสมาชิกราชวงศ์ฝรั่งเศส ก่อนที่จะขยายเข้าสู่กลุ่มสามัญชนที่ร่ำรวย
แล้วจากอุตสาหกรรมเครื่องหนัง กลายมาเป็นน้ำหอม ได้อย่างไร ?
จุดเปลี่ยนของเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ ทางการฝรั่งเศสประกาศ “ขึ้นภาษีเครื่องหนัง”
จนทำให้คนงานที่เคยผลิตเครื่องหนังในเมือง Grasse ตัดสินใจเปลี่ยนมาทำงานด้านน้ำหอมอย่างเต็มรูปแบบในศตวรรษที่ 18 และเริ่มมีการตั้งโรงงานน้ำหอมทั่วตัวเมือง
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ในแง่ของประวัติศาสตร์เท่านั้น ที่ทำให้ดินแดนแห่งนี้ถูกขนานนามว่า เมืองหลวงแห่งน้ำหอมโลก
เพราะด้วยสภาพอากาศ และที่ตั้งของเมือง Grasse ก็ยังเหมาะต่อ “การเพาะปลูกดอกไม้” ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการทำกลิ่นน้ำหอมด้วย
ซึ่ง 2 ใน 3 ของกลิ่น ที่ผลิตด้วยวัตถุดิบธรรมชาติ ในประเทศฝรั่งเศส จะมาจากเมือง Grasse นั่นเอง
โดยพันธุ์ดอกไม้ที่มีชื่อเสียงของเมือง Grasse ก็คือ มะลิ, ลาเวนเดอร์ และ “May Rose” ดอกไม้สุดพิเศษ ที่จะพบได้เฉพาะเมืองนี้เท่านั้น
May Rose จะมีกลิ่นเฉพาะตัว ทั้งความหอมหวาน กลิ่นน้ำผึ้ง และเครื่องเทศ และที่สำคัญคือจะเก็บเกี่ยวได้แค่ในเดือนพฤษภาคม ตามชื่อของดอกไม้
ยิ่งไปกว่านั้น May Rose ยังเป็นหนึ่งในส่วนผสมหลักของน้ำหอม “Miss Dior Rose N'Roses” และ “Chanel No.5” น้ำหอมกลิ่นอมตะ ที่โด่งดังไปทั่วโลก
นอกจากนี้ Grasse ยังเป็นศูนย์รวมทั้งด้านความรู้ และทางธุรกิจในอุตสาหกรรมน้ำหอม
ไม่ว่าจะเป็น สถาบันด้านน้ำหอมชื่อดัง อย่าง “Grasse Institute of Perfumery” โดยนักเรียนจะได้เรียนรู้วิธีการดมและแยกกลิ่นกว่า 2,000 กลิ่น และยังมีอาจารย์เป็นนักปรุงน้ำหอม จากบริษัทที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น Givaudan, Charabot และ Robertet
ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Dior, Hermès และ CHANEL ยังได้เข้ามาลงทุนปลูกดอก May Rose และดอกมะลิ ในบริเวณพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองให้มีการปลูกดอกไม้เชิงพาณิชย์ โดยไม่สร้างผลกระทบต่อเกษตรกรท้องถิ่น และเป็นไปตามมาตรฐานเรื่องสิ่งแวดล้อม
ในขณะเดียวกัน บริษัท CHANEL และบริษัท LVMH ยังได้เซ็นสัญญากับผู้ผลิตดอกไม้ท้องถิ่นใน Grasse เพื่อนำดอกไม้ไปทำกลิ่นน้ำหอม และลดการเบียดเบียนผลประโยชน์ของเกษตรกรดั้งเดิมในเมืองด้วย
ที่น่าสนใจคือ บริษัทน้ำหอมระดับโลกหลายแห่ง ยังเลือกที่จะมาตั้งสำนักงานใหญ่ที่นี่
ไม่ว่าจะเป็น แบรนด์น้ำหอม Louis Vuitton และ Robertet บริษัทผู้ผลิตน้ำหอมรายใหญ่ของฝรั่งเศส ก็ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Grasse เช่นกัน
แต่เมือง Grasse ไม่ใช่ว่าจะมีเพียงด้านที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น
เพราะในปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ก็เลยทำให้ผู้คนหันไปใช้วิธีการทำน้ำหอมด้วย “กลิ่นสังเคราะห์” ที่สามารถลดต้นทุน และลดระยะเวลาลงได้แทน
ยิ่งไปกว่านั้น ที่ดินส่วนใหญ่ยังมีราคาแพงเกินไป สำหรับการทำเกษตร จนทำให้ปริมาณการผลิตดอกไม้ใน Grasse ค่อย ๆ ลดลง
ซึ่งเรื่องนี้ก็จะวนกลับมาทำให้ต้นทุนของวัตถุดิบในการทำกลิ่นน้ำหอมยิ่งสูงขึ้น
และยิ่งกระตุ้นผู้คนให้หันไปใช้ทางเลือกอื่นที่ถูกกว่า
ในปัจจุบันผู้ผลิตน้ำหอมในเมือง Grasse จึงเหลืออยู่เพียงไม่กี่ราย..
อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของ Grasse ต่อวงการน้ำหอมทั่วโลกก็ยังไม่ได้จางหายไปไหน
เพราะดินแดนนี้ ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์
คุณภาพของดอกไม้ที่ถูกปลูกอย่างตั้งใจ
รวมถึงนักปรุงน้ำหอมมากฝีมือ ที่เติบโต และผูกพันอยู่กับที่แห่งนี้..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.